ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการออมของคนวัยทำงานในประเทศไทย

ผู้แต่ง

  • โชติกา อัครกิจกมล คณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา

คำสำคัญ:

พฤติกรรมการออม, คนวัยทำงาน, ปัจจัยทางเศรษฐกิจ, ปัจจัยทางจิตวิทยา, ปัจจัยทางสังคม

บทคัดย่อ

การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการออมของคนวัยทำงานในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นศึกษาปัจจัยทางเศรษฐกิจ ปัจจัยทางจิตวิทยา และปัจจัยทางสังคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือประชากรวัยทำงานอายุระหว่าง 22-60 ปี จำนวน 400 คน ซึ่งถูกสุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธี Stratified Random Sampling และทำการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ข้อมูลที่ได้ถูกวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) และสถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics)

ผลการวิจัยพบว่า 55% ของกลุ่มตัวอย่างออมเงินเป็นประจำ ขณะที่ 30% ออมเงินเฉพาะบางเดือน ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมการออมมากที่สุด ได้แก่ แรงจูงใจในการออม (r = 0.60, p < 0.01), รายได้ (r = 0.65, p < 0.01) และวัฒนธรรมการออม (r = 0.50, p < 0.01) ในขณะที่ ค่าครองชีพและภาระหนี้สินมีผลเชิงลบต่อพฤติกรรมการออม (r = -0.48, -0.50, p < 0.05)

ผลการศึกษานี้สอดคล้องกับทฤษฎีวงจรชีวิต (Life Cycle Hypothesis) และแนวคิดเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมของ Thaler & Shefrin (1981) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าคนที่มีแรงจูงใจในการออมสูงและมีการควบคุมตนเองดี จะสามารถออมเงินได้มากกว่ากลุ่มที่มีพฤติกรรมใช้จ่ายแบบทันที (Present Bias) นอกจากนี้ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าแรงจูงใจทางการเงินและสภาพแวดล้อมทางสังคมมีผลกระทบอย่างมากต่อพฤติกรรมการออม

ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยนี้ ได้แก่ การส่งเสริมวัฒนธรรมการออมในระดับประเทศ การพัฒนาเทคโนโลยีการออมดิจิทัล และการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชากรวัยทำงาน เพื่อสนับสนุนให้เกิดพฤติกรรมการออมที่ดีขึ้นในอนาคต

References

Duflo, E., & Saez, E. (2003). The Role of Information and Social Interactions in Retirement

Plan Decisions: Evidence from a Randomized Experiment. Quarterly Journal of

Economics, 118(3), 815-842.

Friedman, M. (1957). A Theory of the Consumption Function. Princeton University Press.

García, M. J., Lusardi, A., & Mitchell, O. S. (2018). Financial Literacy and Financial Resilience:

Evidence from Around the World. NBER Working Paper No. 25048.

Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities.

Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607-610.

Lusardi, A., & Mitchell, O. S. (2014). The Economic Importance of Financial Literacy: Theory

and Evidence. Journal of Economic Literature, 52(1), 5-44.

Modigliani, F., & Brumberg, R. (1954). Utility Analysis and the Consumption Function: An

Interpretation of Cross-Section Data. In K. Kurihara (Ed.), Post-Keynesian Economics

(pp. 388-436). Rutgers University Press.

Shefrin, H. M., & Thaler, R. H. (1988). The Behavioral Life-Cycle Hypothesis. Economic

Inquiry, 26(4), 609-643.

Thaler, R. H., & Shefrin, H. M. (1981). An Economic Theory of Self-Control. Journal of

Political Economy, 89(2), 392-406.

ธนาคารแห่งประเทศไทย. (2565). รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยและแนวโน้มพฤติกรรมการออม.

กรุงเทพฯ: ธนาคารแห่งประเทศไทย.

สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2565). รายงานการสำรวจพฤติกรรมการออมของประชากรไทย. กรุงเทพฯ:

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม.

เผยแพร่แล้ว

2025-03-30

How to Cite

อัครกิจกมล โ. . (2025). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการออมของคนวัยทำงานในประเทศไทย . วารสารวิชาการเฉลิมกาญจนา (Online), 11(2). สืบค้น จาก https://so19.tci-thaijo.org/index.php/cnujournal/article/view/1650