ปัจจัยความพึงพอใจต่อการอนุรักษ์เรือหางยาวของประเทศไทยในภาคตะวันออก
Main Article Content
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาปัจจัยความพึงพอใจที่ส่งผลต่อการอนุรักษ์เรือหางยาวในภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความสำคัญความพึงพอใจที่ส่งผลต่อการอนุรักษ์เรือหางยาวของประเทศไทยในภาคตะวันออก 2) เพื่อศึกษาวิเคราะห์สังเคราะห์ความพึงพอใจที่ส่งผลต่อการอนุรักษ์เรือหางยาวของประเทศไทยในภาคตะวันออก 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางที่มีผลต่อความพึงพอใจที่ส่งผลต่อการอนุรักษ์เรือหางยาวของประเทศไทยในภาคตะวันออก โดยใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ผลการวิจัยพบว่า
สภาพปัญหาและความพึงพอใจที่ส่งผลต่อการอนุรักษ์เรือหางยาวในภาคตะวันออก มีน้ำหนักเฉลี่ยระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 3.11, S.D. = 0.93) โดยเฉพาะด้านวิถีชีวิต (ค่าเฉลี่ย = 3.19, S.D. = 1.01) ด้านคุณค่า (ค่าเฉลี่ย = 3.14, S.D. = 0.90) และด้านคุณภาพชีวิต (ค่าเฉลี่ย = 3.12, S.D. = 0.85) ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของเรือหางยาวในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชน อย่างไรก็ตาม ด้านประสบการณ์มีน้ำหนักเฉลี่ยต่ำสุด (ค่าเฉลี่ย = 3.02, S.D. = 0.95) ในด้านการอนุรักษ์ มีน้ำหนักเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 3.13, S.D. = 0.83) โดยด้านการรับรู้ (ค่าเฉลี่ย = 3.16, S.D. = 0.83) และการส่งเสริม (ค่าเฉลี่ย = 3.13, S.D. = 0.86) มีผลสำคัญที่สุด ในขณะที่ด้านการปฏิบัติมีน้ำหนักเฉลี่ยต่ำสุด (ค่าเฉลี่ย = 3.10, S.D. = 0.81) ตามลำดับ
ระดับความพึงพอใจต่อการอนุรักษ์เรือหางยาวมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย = 3.09, S.D. = 0.94) โดยการส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีมีค่าเฉลี่ยสูงสุด (ค่าเฉลี่ย = 3.10, S.D. = 0.98) รองลงมาคือการมีส่วนร่วม (ค่าเฉลี่ย = 3.11, S.D. = 0.89) และคุณภาพของสิ่งแวดล้อมที่ เกี่ยวข้อง (ค่าเฉลี่ย = 3.10, S.D. = 0.98) ด้านความปลอดภัยมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (ค่าเฉลี่ย = 3.02, S.D. = 0.96) การวิเคราะห์เชิงสถิติพบว่าระดับการศึกษามีผลต่อความพึงพอใจต่อการอนุรักษ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ในขณะที่เพศ อายุ และอาชีพไม่มีผลแตกต่างกัน
สำหรับข้อเสนอแนะสำคัญที่มีผลต่อความพึงพอใจที่ ส่งผลต่อการอนุรักษ์เรือหางยาวของประเทศไทยในภาคตะวันออก คือการส่งเสริมการรับรู้ในระดับชุมชนและ ประเทศ ผ่านการจัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม เช่น การแข่งขันเรือยาว และการสนับสนุนจากหน่วยงานท้องถิ่น และรัฐ เพื่อพัฒนาและคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของเรือหางยาวในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมของชาติอย่างยั่งยืน
Article Details
References
เบญจมาศ ณ ทองแกว และคณะ. (2562). รูปแบบการอนุรักษ์และฟื้นฟูเรือใบพื้นบ้านเพื่อการท่องเที่ยวเชิง
นิเวศอำเภอละแม จังหวัดชุมพร. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุ
ราษฎร์ ธานี,11(2), 57 – 78.
ณัฐกานต์ เกาศล และ สุวิชัย โกศัยยะวัฒน์. (2560). เรือ: ภูมิปัญญากับวิถีชีวิตพื้นบ้านและบทบาทใน
สังคมไทยภาคกลาง. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต, 13(1), 69 - 82.
ณัฐกานต์ เกาศล. (2561). ภูมิปัญญาชาวบ้าน: พัฒนาการของเรือ. วารสารจันทรเกษมสาร มหาวิทยาลัยราช
ภัฏจันทรเกษม, 24(46), 30 - 45.
ธัศฐ์ชาพัฒน์ ยุกตานนท์. (2565). กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยพุทธสันติวิธีของศาลเยาวชนและ
ครอบครัวกลาง. ดุษฎีนิพนธ์ หลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสันติศึกษา
บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
ประจวบ ทองศรี และ สัญชัย นงรัตน์. (2565). แนวทางในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาเรือกอและในจังหวัดชายแดน
ใต้. วารสารสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 28(2), 35 - 52.
พระมหาสุเมฆ สมาหิโต และคณะ (2566). รูปแบบการอนุรักษ์ประเพณีแข่งขันเรือยาวจังหวัดพิจิตร. วารสาร
วิจัยวิชาการมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 6(1), 51 - 62.
วราภรณ์ มนต์ไตรเวศย์. (2549). เรือยาวคลองบางเชือกหนังการสัญจรทางน้ำของคนฝั่งธนบุรี. วารสารภาษา
และวัฒนธรรม, 25(2), 66 - 81.
สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง. (2566). ข้อมูลประชากรในภาคตะวันออก. กรุงเทพฯ : กรมการ
ปกครอง.
Taro Yamane. (1973). Statistics: An Introductory Analysis (3rd ed.). New York: Harper and Row.