การบริหารการจัดการความขัดแย้งของผู้นำชุมชนในเขตพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ

Main Article Content

พีระยุทธ ศิลาพรหม

บทคัดย่อ

         การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารการจัดการความขัดแย้งของผู้นำชุมชนในเขตพื้นที่หวัดบึงกาฬ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารการจัดการความขัดแย้งของผู้นำชุมชนในเขตพื้นที่หวัดบึงกาฬ และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒการบริหารการจัดการความขัดแย้งของผู้นำชุมชนในเขตพื้นที่หวัดบึงกาฬ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งในเขตพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ ทั้งหมด จำนวน 397 คน กลุ่มผู้ให้ข้อมูลเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ไช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติการแจกแจงความถี่และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม วิเคราะห์โดยการนำเสนอเป็นตารางใช้สถิติค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณโดยใช้วิธีการคัดเลือกตัวแปรแบบเป็นลำดับขั้น ประกอบการอภิปรายผล การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาโดยคัดเลือก และจําแนกข้อมูล จัดระเบียบข้อมูลให้เป็นระบบ จัดทําบรรณาธิกรณ์ข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล แล้วนําข้อมูลไปเขียนเป็นรายงาน


            ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารการจัดการความขัดแย้งของผู้นำชุมชนในเขตพื้นที่หวัดบึงกาฬ โดยรวมทุกด้าน อยู่ในระดับปานกลาง (=3.08.S.D =.39) พิจารณาตามรายข้อได้ดังนี้ ด้านผลของความขัดแย้ง (=3.13.S.D =.16) ด้านสาเหตุความขัดแย้ง (=3.08.S.D =.16) ด้านระดับความขัดแย้ง (=3.05.S.D =.70) ตามลำดับ 2) ปัจจัยการบริหารการจัดการความขัดแย้งของผู้นำชุมชนในเขตพื้นที่หวัดบึงกาฬ (โดยรวมทุกด้านด้าน) ด้านผลประโยชน์ซับซ้อนX2 ด้านโครงสร้างการทำงานX4 และมีค่าสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์ในคะแนนดิบ (b) เท่ากับ .467 -.250 ตามลำดับ มีค่าสัมประสิทธิ์ของตัวแปรพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน (β) .672 -.631 ตามลำดับ และ 3) จำเป็นต้องหาสาเหตุความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในการอยู่ร่วมกันในชุมชนสามารถแก้ไชปัญหาได้ในชุมชนทำได้สำเร็จจะทำให้ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนไม่ดี โดยนำประเด็นสาเหตุที่ขัดแย้งมาไกล่เกลี่ยกันอย่างเป็นทางการมาจากความเข้าใจผิดของคนในชุมชน มีการเปิดเผยหรือไม่บิดเบือนข้อมูล ในการทํางานระหว่างกันในชุมชน ทํางานโดยไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว แสดงความคิดเห็นที่ตรงกันที่เป็นการพัฒนาอย่างมั่นคง การพูดจาปรับความเข้าใจกันเกี่ยวกับที่ทำกินดีขึ้นตกลงกันได้ การบริหารการจัดการความขัดแย้งเกี่ยวกับน้ำในการเกษตรในชุมชนดีขึ้นและการขัดแย้งเกี่ยวกับสิทธิที่ทำกินมีการพูดจาตกลงกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Article Details

บท
บทความวิจัย

References

กัลยา วานิชย์บัญชา. (2542). การวิเคราะห์สถิติ : สถิติเพื่อการตัดสินใจ . พิมพ์ครั้งที่ 4.

กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์วิทยาลัย

ชไมพร เทือกสุบรรณ. (2553). ประสิทธิผลของการนำนโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปปฏิบัติ

ในกรมที่ดิน : กรณีการนำตัวชี้วัดการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) มา

ปฏิบัติ. ใน รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหารจัดการสาธารณะ .มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

ชัยยุทธ์ เหลืองบุศราคัม. (2552). ความพึงพอใจต่อการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการ

ภาครัฐของบุคลากร สำนักงานกรมปศุสัตว์ จังหวัดนครนายก. นครนายก:สำนักงานปศุสัตว์

จังหวัดนครนายก.

สิทธิชัย สุวรรณประทีป.(2550). คู่มือการทำกิจกรรมกลุ่มสร้างคุณภาพงาน. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์

เจริญผล.

สมศักดิ์ จังตระกล. (2554). การจัดการความขัดแย้งโดยนายอำเภอของประชาชนในประเทศไทย.

สาขาวิชาการจัดการภาครัฐและเอกชน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยคริสเตียน.Suranaree

J. Soc. Sci. Vol. 5 No. 2; December 2011 (131-148).

สุวิมล ติรกานันท์. (2550). ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์: แนวทางปฏิบัติ. กรุงเทพมหานคร: โรง

พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

สร้อยตระกูล (ติวยานนท์)อรรถมานะ. (2550). พฤติกรรมองค์การ ทฤษฎีและการประยุกต์. พิมพ์ครั้งที่

กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

สนธยา พลศรี. (2547). ทฤษฎีและหลักการพัฒนาชุมชน (พิมพ์ครั้งที่5). กรุงเทพมหาคร: โอเดียนสโตร์.

สำนักบริหารทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย รวบรวมโดย: สำนักสถิติพยากรณ์

สำนักงานสถิติแห่งชาติ ข้อมูล ณ วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2563.

Taro Yamane. (1973 ).Statistics: An Introductory Analysis.3rdEd.New York.Harper and

RowPublications.