วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/polsci_ubu
<p>วารสารวิชาการถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญสำหรับการเผยแพร่องค์ความรู้และความคิดใหม่ ๆ ทางวิชาการ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาและการต่อยอดความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ สำหรับคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี การผลิตวารสารวิชาการของคณะรัฐศาสตร์ไม่เพียงแต่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการวิจัยระหว่างนักวิชาการ นักวิจัย และนักศึกษา แต่ยังเป็นเวทีที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและการวิเคราะห์เชิงลึกในประเด็นทางสังคมและการเมืองที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ของสังคมและการเมืองทั่วโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การผลิตวารสารวิชาการของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนการวิจัยที่มีคุณภาพและเป็นกลาง บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนี้จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกันว่าข้อมูลและการวิเคราะห์ที่เผยแพร่นั้นมีความถูกต้อง เชื่อถือได้ และเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและการนำไปใช้ในวงกว้าง ทั้งนี้วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีการจัดพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ (ม.ค.–มิ.ย. และ ก.ค.–ธ.ค.) โดยใช้การกลั่นกรองบทความก่อนลงตีพิมพ์แบบผู้พิจารณาไม่ทราบชื่อผู้แต่ง และผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้พิจารณา (Double-blind Peer Review) ทั้งนี้บทความทุกชิ้นที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่จะผ่านกระบวนการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน </p> <p> </p>
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
th-TH
วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
-
Werner Bonefeld’s Critique of Ordoliberalism and Authoritarian Liberalism
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/polsci_ubu/article/view/1158
<p>บทความนี้สำรวจมุมมองเชิงวิพากษ์ของแวเนอร์ โบเนเฟลด์ที่มีต่อลัทธิเสรีนิยมแบบออร์โด โดยเน้นประเด็นขัดแย้งระหว่างความมุ่งมั่นต่อเสรีภาพทางเศรษฐกิจกับการพึ่งพามาตรการของรัฐที่มีลักษณะเผด็จการ โบเนเฟลด์ให้เหตุผลว่าเสรีนิยมแบบออร์โด ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดการปกครองแบบเสรีนิยมใหม่ที่มี ต้นกำเนิดในเยอรมนี ส่งเสริมรูปแบบการจัดการปกครองที่ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของตลาดเหนืออำนาจการตัดสินใจของประชาชนด้วยการมองลัทธิเสรีนิยมแบบออร์โดผ่านแนวคิด “เสรีนิยมแบบอำนาจนิยม” บทความนี้วิเคราะห์ว่ารัฐแบบเสรีนิยมแบบออร์โดใช้มาตรการกดขี่เพื่อรักษาระเบียบทางเศรษฐกิจอย่างไร การวิพากษ์นี้มีความสำคัญในบริบทปัจจุบัน เช่น นโยบายรัดเข็มขัดของยุโรป ซึ่งมักทำให้หลักการของเสรีนิยมแบบออร์โดนำไปสู่ข้อจำกัดในเสรีภาพทางการเมือง บทความนี้ได้อภิปรายข้อโต้แย้งของโบเนเฟลด์และผลกระทบในวงกว้างของเสรีนิยมแบบอำนาจนิยมในการจัดการปกครองแบบเสรีนิยมใหม่ โดยได้เผยให้เห็นความขัดแย้งพื้นฐานในเสรีนิยมแบบออร์โดและสำรวจผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเมืองในปัจจุบัน</p>
Watcharabon Buddharaksa
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
2024-12-31
2024-12-31
1 พิเศษ
1
22
-
เสียงมีไว้ขาย?
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/polsci_ubu/article/view/1004
<p>การซื้อสิทธิขายเสียงถือเป็นประเด็นปัญหาสำคัญที่ถูกกล่าวถึงอยู่ตลอดเวลาเมื่อมีการเลือกตั้งในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การซื้อสิทธิขายเสียงก็กลายเป็นวาทกรรมทางการเมืองของฝ่ายต่าง ๆ ที่ช่วงชิงความชอบธรรมให้กับผลการเลือกตั้งอยู่เสมอ บทความวิชาการนี้ทำการสำรวจและตั้งคำถามต่อประเด็นการซื้อสิทธิขายเสียงว่าเป็นเหตุที่ยอมรับได้หรือไม่ตามทฤษฎีการเมืองกลุ่มสัญญาประชาคม กล่าวคือ เสียงเลือกตั้งนั้นอาจถือว่าเป็นสินค้าที่สามารถซื้อขายในระบบตลาดเสรีได้หรือไม่? และหากเสียงเลือกตั้งกลายเป็นสินค้าแล้ว จะสามารถยอมรับถึงความชอบธรรมของผลการเลือกตั้งได้หรือไม่? ผลการศึกษาพบว่า แนวคิดสัญญาประชาคมมองสิทธิการเลือกตั้งเป็นพันธะที่พลเมืองมีต่อประชาคมการเมืองโดยไม่อาจซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนได้ การนำพันธะดังกล่าวมาใช้แลกเปลี่ยนในทางเศรษฐกิจ ย่อมเป็นการสละซึ่งพันธะดังกล่าว เพราะเป็นการใช้สัญญาต่อรัฐเป็นเพื่อดำรงผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น เช่นเดียวกันรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่มีการซื้อสิทธิขายเสียงก็ย่อมไม่ใช่รัฐบาลที่ชอบธรรม เพราะไม่สามารถแสดงได้ว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากการยินยอมของสมาชิกประชาคมการเมืองนั่นเอง</p>
Phakkanan Leongpanyawong
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
2024-12-31
2024-12-31
1 พิเศษ
24
51
-
ปรัชญาปฏิฐานนิยมในการศึกษาทางรัฐศาสตร์: พัฒนาการและข้อจำกัดทางญาณวิทยา
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/polsci_ubu/article/view/1154
<p>บทความนี้มีจุดมุ่งหมายในการศึกษาถึงพัฒนาการและข้อจำกัดทางญาณวิทยาของปรัชญาปฏิฐานนิยมต่อประเด็นการศึกษาทางรัฐศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า ปรัชญาปฏิฐานนิยมเริ่มก่อตัวในคริสตศตวรรษที่ 16 ในฐานะแนวคิดที่ต่อต้านการแสวงหาความรู้เชิงอภิปรัชญา ปรัชญาปฏิฐานนิยมเชื่อมั่นว่าความรู้และความจริงมีจากประสาทสัมผัสของมนุษย์ ซึ่งสัมพันธ์กับความสำเร็จของสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติตั้งแต่ศตวรรษที่ 16-20 ส่งผลให้การศึกษาทางสังคมได้รับอิทธิพลจากวิธีการแบบวิทยาศาสตร์ และนำมาใช้ศึกษาปรากฏการณ์ทางการเมืองในยุคพฤติกรรมศาสตร์หรือยุคปฏิฐานนิยมในช่วงราวคริสตศตวรรษ 1950 – 1960 เป็นต้นมา</p> <p>ในแง่ข้อจำกัดทางญาณวิทยา ปรัชญาปฏิฐานนิยมมีความเชื่อมโยงกับญาณวิทยาแบบประจักษ์นิยม ที่มีปัญหาตรงที่ไม่สามารถยืนยันถึงการดำรงอยู่จริงของปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยประสบการณ์หรือประสาทสัมผัสได้ ตลอดจนปัญหาในแง่ของพลังในการอธิบาย ที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีความซับซ้อน ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการประกอบสร้างความหมายของสังคมมนุษย์ และปัญหาที่มาจากความลักลั่นขัดกันในเชิงมโนทัศน์ อันมีที่มาจากการขาดความเคร่งครัดและเข้มงวดในการสร้างคำนิยามเชิงปฏิบัติการของชุมชมวิจัย</p>
Phermsak Chariamphan
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
2024-12-31
2024-12-31
1 พิเศษ
52
75
-
การศึกษาไม่ใช่คำตอบสุดท้าย: มรดกทางความคิดของวอลสโตนคราฟต์ กับการต่อสู้ของผู้หญิงร่วมสมัย
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/polsci_ubu/article/view/1155
<p>บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากับความเท่าเทียมทางเพศ โดยใช้แนวคิดของแมรี่ วอลสโตนคราฟต์เป็นจุดตั้งต้นในการพิจารณา วอลสโตนคราฟต์เสนอว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการปลดปล่อยผู้หญิงจากการครอบงำของระบบชายเป็นใหญ่ อย่างไรก็ตาม แม้เวลาจะผ่านไปกว่าสองศตวรรษและผู้หญิงมีโอกาสทางการศึกษามากขึ้น แต่ความไม่เท่าเทียมทางเพศในหลายมิติยังคงดำรงอยู่ โดยเฉพาะปรากฏการณ์ "กะที่สอง" ที่ผู้หญิงต้องแบกรับภาระงานบ้านและการดูแลครอบครัวแม้จะทำงานนอกบ้านเทียบเท่าผู้ชาย การวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่ารากเหง้าของความไม่เท่าเทียมฝังอยู่ในโครงสร้างอำนาจทางสังคม วัฒนธรรม และระบบคุณค่าที่ตอกย้ำบทบาททางเพศแบบดั้งเดิม ดังนั้น การสร้างความเท่าเทียมทางเพศที่แท้จริงจึงต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมและลึกซึ้งกว่าการให้โอกาสทางการศึกษาเพียงอย่างเดียว ทั้งการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง การผลักดันนโยบายที่เป็นธรรม และการเปลี่ยนแปลงค่านิยมทางสังคม</p>
Sirisopa Suntitissadeekorn
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
2024-12-31
2024-12-31
1 พิเศษ
77
94
-
การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในสังคมไทย : กรณีสิทธิในการสมรสและสิทธิในอัตลักษณ์ทางเพศ
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/polsci_ubu/article/view/1098
<p>การศึกษาเรื่อง “การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในสังคมไทย : กรณีสิทธิในการสมรสและสิทธิในอัตลักษณ์ทางเพศ” เป็นการศึกษาฐานคิดในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิในการสมรสและสิทธิในอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ และศึกษาข้อจำกัดเกี่ยวกับสิทธิในการสมรสและสิทธิในอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในสังคมไทย โดยใช้การวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) เป็นแนวทางหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศมีมุมมองว่าการแบ่งเพศตามสรีระส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกเป็นขั้วตรงข้ามที่ใช้เพศวิถีแบบรักต่างเพศเป็นศูนย์กลางและกดทับเพศวิถีอื่น ๆ ส่งผลเกิดการแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติทางเพศ รวมถึงการถูกจำกัดสิทธิและการกีดกันทางสังคมและกฎหมายด้วยเหตุแห่งเพศ สำหรับประเด็นสิทธิในการสมรสและสิทธิในอัตลักษณ์ทางเพศ หลักสิทธิมนุษยชนถูกนำมาเป็นฐานคิดในการเคลื่อนไหว โดยยึดหลักการที่ระบุไว้ในตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้ประเทศไทยมีกฎหมายที่ครอบคลุม 3 เรื่อง คือ กฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ กฎหมายสมรสเท่าเทียม และกฎหมายความเท่าเทียมระหว่างเพศ สำหรับข้อจำกัด ความเข้าใจเรื่อง “เพศ” ในสังคมไทยยังไม่เปิดกว้างและยอมรับอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลาย ในขณะที่มิติทางกฎหมาย แม้ว่าสิทธิสมรสของผู้มีความหลากหลายทางเพศจะถูกระบุใน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม แต่มีเรื่องการรับรองสภาพครอบครัวของผู้มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงการปรับเปลี่ยนกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อรองรับสิทธิดังกล่าวยังเป็นไปอย่างจำกัด ในแง่ของสิทธิในอัตลักษณ์ทางเพศ กฎหมายไทยยังไม่มีการรับรองเป็นการเฉพาะ แม้ว่าจะมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.การรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ เพื่อให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถกำหนดเจตจำนง และยังสามารถแสดงออกทางเพศ แต่ยังไม่มีบทบัญญัติที่คุ้มครองการเลือกปฎิบัติต่อบุคคลหลากหลายทางเพศเป็นการเฉพาะ ส่งผลให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศต้องเผชิญกับการแบ่งแยก กีดกัน และการเลือกปฏิบัติจากทั้งสังคมและกฎหมาย</p>
Supanida Puangphaka
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
2024-12-31
2024-12-31
1 พิเศษ
96
154
-
The การคลายตัวลงของความผูกพันพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ภาคใต้ของไทย
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/polsci_ubu/article/view/1101
<p>งานศึกษาชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการคลายตัวลงของความผูกพันพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ภาคใต้ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการคลายตัวลงของความผูกพันพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร และการวิเคราะห์สถิติข้อมูลการเลือกตั้งด้วยโปรแกรม Microsoft Excel ผลการศึกษาพบว่า การคลายตัวลงของความผูกพันพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ภาคใต้เริ่มเกิดขึ้นในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 และเห็นเด่นชัดในการเลือกตั้งปี พ.ศ.2562 ที่ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกเพียงร้อยละ 28.33 โดยปัจจัยที่มีผลต่อการคลายตัวลงของความผูกพันพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้เกิดจากปัจจัยภายในที่เกี่ยวกับพรรค คือ นโยบายพรรค ผลงานที่ผ่านมาของพรรค ผู้นำพรรค และภาพลักษณ์ของพรรค รวมทั้งปัจจัยภายนอก คือ กติกาการเลือกตั้ง และโครงสร้างของประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้ง</p>
kanittha suksong
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
2024-12-31
2024-12-31
1 พิเศษ
155
193