https://so19.tci-thaijo.org/index.php/jims/issue/feed
วารสารสหวิทยาการบริหารจัดการศาสตร์
2025-04-28T21:20:10+07:00
Open Journal Systems
<p> </p> <p><strong> </strong></p>
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/jims/article/view/1422
การรณรงค์ต่อต้านการซื้อสิทธิขายเสียงเลือกตั้งแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน
2025-02-20T19:59:53+07:00
ศักดิ์ดา ปาระจิต
sakdaparachit@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับการซื้อสิทธิขายเสียงเป็นปัญหาสำคัญที่บ่อนทำลายกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อความโปร่งใสและความยุติธรรมของการเลือกตั้ง แต่ยังลดความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบการเมืองโดยรวม บทความนี้มุ่งเน้นการศึกษาและเสนอแนวทางการรณรงค์ต่อต้านการซื้อสิทธิขายเสียงผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ตลอดจนเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับวัฒนธรรมประชาธิปไตยในระยะยาว กระบวนการรณรงค์ดังกล่าวอาศัยการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ โดยเริ่มจากการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนในวงกว้าง เช่น การใช้สื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสมัยใหม่ และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชนในพื้นที่เป้าหมาย นอกจากนี้ การสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเห็นถึงคุณค่าในสิทธิเลือกตั้งของตนเอง และการส่งเสริมให้มีบทบาทในกระบวนการตรวจสอบการเลือกตั้ง เช่น การเป็นอาสาสมัครเฝ้าระวังหรือรายงานพฤติกรรมที่เข้าข่ายการซื้อสิทธิขายเสียง ก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างกระบวนการป้องกันการทุจริตอย่างยั่งยืน ผลการรณรงค์ในลักษณะนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง โดยไม่เพียงช่วยลดปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงในระยะสั้น แต่ยังช่วยสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่เข้มแข็งในระยะยาว ประชาชนได้รับการปลูกฝังให้ตระหนักถึงบทบาทและความสำคัญของตนเองในระบบการเมือง รวมถึงพัฒนาความสามารถในการตรวจสอบและมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งอย่างเป็นระบบ อันจะนำไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศอย่างยั่งยืน</p>
2025-04-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการบริหารจัดการศาสตร์
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/jims/article/view/1423
นวัตกรรมการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคปัญญาประดิษฐ์
2025-03-12T20:27:21+07:00
กฤษณา หมู่หมื่นศรี
sparachit@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และนำเสนอแนวทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Era) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน นวัตกรรมการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคนี้เกี่ยวข้องกับการนำ AI มาใช้ในกระบวนการต่าง ๆ เช่น การสรรหาและคัดเลือกบุคลากร การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติงาน และการจัดการค่าตอบแทนและสวัสดิการ การผสมผสาน AI เข้ากับกระบวนการเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาด และสนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ขององค์กร บทความนี้ยังเน้นถึงความสำคัญของการสร้างความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและมนุษย์ โดยองค์กรต้องคำนึงถึงการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของพนักงานเพื่อให้สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ทั้งนี้ AI ไม่เพียงช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน แต่ยังช่วยสร้างแรงจูงใจและส่งเสริมความผูกพันในองค์กรผ่านการปรับแต่งประสบการณ์การทำงานให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล นอกจากนี้ บทความยังนำเสนอผลกระทบที่สำคัญของ AI ต่อทรัพยากรมนุษย์ เช่น การลดบทบาทของงานที่ใช้แรงงานธรรมดาและการเพิ่มความต้องการในงานที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก รวมถึงความท้าทายที่องค์กรต้องเผชิญ เช่น ความเสี่ยงในการสูญเสียข้อมูลส่วนบุคคลและประเด็นด้านจริยธรรมผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า นวัตกรรมการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคปัญญาประดิษฐ์ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืน บทความนี้จึงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปรับใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดร่วมกับการพัฒนามนุษย์ในมิติที่สมดุล เพื่อให้องค์กรสามารถตอบสนองความต้องการในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิผลและยั่งยืน</p>
2025-04-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการบริหารจัดการศาสตร์
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/jims/article/view/1428
การป้องกันและแก้ไขการทุจริตการเลือกตั้งแบบการมีส่วนร่วม Preventing and Addressing Electoral Corruption Through Participatory Approaches
2025-04-09T12:51:37+07:00
ทศพร อินทะนาม
at586201mcmc@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์การทุจริตการเลือกตั้งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยและความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบการเลือกตั้ง การป้องกันและแก้ไขปัญหานี้จึงจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการที่มีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของสังคม</p> <p>แนวทางการป้องกันและแก้ไขการทุจริตการเลือกตั้งโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และองค์กรภาคประชาสังคม โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพที่ประกอบด้วยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ และกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องผลการศึกษาพบว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างกระบวนการเลือกตั้งที่โปร่งใสและเป็นธรรม โดยเฉพาะในด้านการเฝ้าระวังและตรวจสอบกระบวนการเลือกตั้งผ่านการจัดตั้งเครือข่ายอาสาสมัครภาคประชาชน การจัดอบรมความรู้เรื่องสิทธิและหน้าที่ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และการรณรงค์สร้างจิตสำนึกเรื่องการปฏิเสธการซื้อสิทธิขายเสียง ด้านหน่วยงานรัฐ พบว่ามาตรการเชิงรุก เช่น การพัฒนาระบบรายงานข้อมูลแบบเรียลไทม์ การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการปรับปรุงกฎหมายเลือกตั้งให้มีความทันสมัยและครอบคลุม มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและจัดการกับการทุจริต</p> <p>นอกจากนี้ การสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและองค์กรภาคประชาสังคม เช่น การจัดตั้งโครงการรณรงค์เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชนและประชาชนทั่วไป การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการติดตามกระบวนการเลือกตั้ง และการส่งเสริมบทบาทของสื่อมวลชนในการรายงานปัญหาการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ ล้วนมีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดการทุจริต</p> <p>บทความนี้สรุปว่าการแก้ไขปัญหาการทุจริตการเลือกตั้งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมที่โปร่งใสและเป็นระบบ พร้อมทั้งเสนอแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปปรับใช้ในบริบทของประเทศอื่นๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งอย่างยั่งยืน</p>
2025-04-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการบริหารจัดการศาสตร์
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/jims/article/view/1430
กลยุทธ์การบริหารเพื่อโลกที่เปลี่ยนแปลง
2025-03-08T14:01:33+07:00
สิทธชัย อินทร์นาคา
x9217429@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาในยุคที่โลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์การบริหารที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป บทความนี้นำเสนอแนวทางการบริหารเพื่อโลกที่เปลี่ยนแปลงผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบและการนำเสนอกลยุทธ์ที่สามารถช่วยให้องค์กรเผชิญหน้ากับความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้ได้นำเสนอ โมเดล 5C ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรปรับตัวในยุคปัจจุบัน ประกอบด้วย (1) Change การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น การรับมือกับเทคโนโลยีใหม่และการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค (2) Collaboration การสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขัน (3) Creativity การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการนำนวัตกรรมมาใช้ในองค์กร (4) Capacity การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลง และ (5) Continuity การวางกลยุทธ์ที่คำนึงถึงความยั่งยืนและการมีส่วนร่วมในสังคม นอกจากนี้ บทความยังได้วิเคราะห์กรณีศึกษาจากองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการปรับตัวตามโมเดล 5C เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การสร้างนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของตลาด และการสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายทางธุรกิจและการพัฒนายั่งยืน ผลการศึกษายังเน้นย้ำว่า ความสำเร็จขององค์กรในยุคปัจจุบันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงผลกำไร แต่ยังรวมถึงความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและการสร้างคุณค่าให้แก่สังคมในระยะยาว</p>
2025-04-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการบริหารจัดการศาสตร์
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/jims/article/view/1426
คุณลักษณะของผู้นำทางการเมืองที่ดี
2025-04-09T12:49:28+07:00
วันใส พาวงสัก
m04441359@gmail.com
<p>บทความนี้นำเสนอการศึกษาเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้นำทางการเมืองที่ดี โดยมุ่งเน้นความสำคัญของภาวะผู้นำในบริบทการเมืองร่วมสมัย การวิจัยดำเนินการด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงเอกสารและการประมวลกรณีศึกษาของผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล เพื่อนำเสนอแนวทางพัฒนาคุณลักษณะของผู้นำที่สอดคล้องกับความต้องการของสังคม</p> <p>ผลการศึกษาเผยให้เห็นว่าผู้นำทางการเมืองที่ดีควรมีคุณลักษณะสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1.ความซื่อสัตย์และโปร่งใส เพื่อสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากประชาชน 2.ความสามารถในการบริหารจัดการ ครอบคลุมการกำหนดนโยบาย การแก้ไขปัญหา และการตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ 3.จริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม แสดงถึงความพร้อมในการเสียสละและการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม 4.ศักยภาพในการสร้างแรงบันดาลใจและความสามัคคีในสังคม ผ่านการสื่อสารที่ชัดเจนและการส่งเสริมความร่วมมือ</p> <p>บทความยังระบุว่าปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณลักษณะของผู้นำ ได้แก่ การศึกษา การอบรมด้านจริยธรรม และการสนับสนุนจากโครงสร้างทางสังคมที่ยุติธรรมและโปร่งใส ข้อค้นพบเหล่านี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในสังคมไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการบริหารจัดการและความขัดแย้งทางการเมือง</p>
2025-04-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการบริหารจัดการศาสตร์