Administrative Journal for Local Development
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc
<p><strong>Administrative Journal for Local Development<br />ISSN 3057-059X (Online)<br /><br />วัตถุประสงค์วารสาร: </strong>วารสารมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนให้นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ <br /><strong>ขอบเขตวารสาร: </strong>การบริหารจัดการ การศึกษา สหวิทยาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และการบูรณาการศาสตร์เพื่อการพัฒนา<br /><strong>กำหนดเผยแพร่วารสาร: </strong>วารสารเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม)<br /><strong>ประเภทของบทความ: </strong>วารสารแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ บทความวิจัย และบทความวิชาการ <br /><strong>ภาษาของบทความ: </strong>วารสารรับตีพิมพ์บทความทั้งบทความภาษาไทยและบทความภาษาอังกฤษ <br /><strong>เงื่อนไขการตีพิมพ์ :</strong>บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer Reviewer) จากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสองท่าน โดยบทความจะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มิใช่หน่วยงานเดียวกันกับผู้นิพนธ์และมีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบัน และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์เผยแพร่ ทั้งนี้ จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสาร ทั้งนี้ บทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างพิจารณาเสนอขอตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ หากมีการใช้ภาพหรือตารางของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อกองบรรณาธิการก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ สำหรับทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความในวารสารฉบับนี้ เป็นของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ<br /><strong>ทั้งนี้</strong> วารสารไม่มีค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์เผยแพร่</p>
th-TH
jasc2565@gmail.com (Natthawadi Boonkrong)
jasc2565@gmail.com (Natthawadi Boonkrong)
Tue, 06 May 2025 16:11:19 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
รูปแบบการจัดการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการส่งมอบสินค้าและบริการสาธารณะ
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1250
<p>ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมนวัตกรรมและความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ เนื่องจากช่วยให้ภาคส่วนต่างๆ สามารถผสานรวมทรัพยากร ความเชี่ยวชาญ และโครงสร้างพื้นฐานเข้าด้วยกันได้ ช่วยแก้ไขปัญหาทางสังคม ช่วยให้สามารถส่งมอบบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างแนวทางแก้ปัญหาในระยะยาวที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งชุมชนและธุรกิจ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการส่งมอบสินค้าและบริการสาธารณะ ผลการศึกษาพบว่า ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนมีบทบาทสำคัญในการส่งมอบสินค้าและบริการสาธารณะ โดยช่วยแก้ไขข้อจำกัดทางการคลัง ข้อจำกัดด้านทรัพยากร และความท้าทายที่ซับซ้อนของสังคม รูปแบบต่างๆ เช่น ข้อตกลงตามสัญญา ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) การร่วมทุน และการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ล้วนให้ประโยชน์และความท้าทายที่ไม่เหมือนใคร ความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จนั้นใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญ นวัตกรรม และทรัพยากรของภาคเอกชนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และปรับปรุงการให้บริการ สรุปได้ว่า ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กรอบการกำกับดูแลที่แข็งแกร่ง และความเปิดกว้าง เมื่อเผชิญกับปัญหาโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ความร่วมมือเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการรับประกันการส่งมอบบริการที่เท่าเทียมและยั่งยืน</p>
สัญญา เคณาภูมิ, สมบูรณ์ แก้วละมัย , วัชราภรณ์ จันทนุกูล
Copyright (c) 2025 Administrative Journal for Local Development
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1250
Fri, 09 May 2025 00:00:00 +0700
-
กลยุทธ์ภาวะผู้นำขั้นสูง: การปลูกฝังความเป็นเลิศในฐานะผู้บริหารผู้สร้างแรงบันดาลใจ
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1253
<p>องค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งของความสำเร็จขององค์กรคือความเป็นเลิศด้านภาวะผู้นำ และการพัฒนาคุณภาพนี้ต้องใช้เทคนิคภาวะผู้นำที่ซับซ้อน บทความนี้เน้นที่การผสานรวมของสติปัญญาทางอารมณ์ การคิดเชิงวิสัยทัศน์ และการตัดสินใจที่ประสบความสำเร็จ โดยจะตรวจสอบแนวคิดพื้นฐานและวิธีการปฏิบัติที่เป็นลักษณะเฉพาะของผู้บริหารที่ยอดเยี่ยม บทความนี้จะสำรวจคุณสมบัติพื้นฐานของผู้นำที่ดีเหมาะสำหรับการเป็นผู้บริหารที่ดี ผลการศึกษาพบว่า องค์ประกอบของภาวะผู้นำขั้นสูง (1) สติปัญญาทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) (2) ความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability and Resilience) (3) การคิดเชิงวิสัยทัศน์ (Visionary Thinking) (4) การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Effective Communication) (5) ภาวะผู้นำที่มีจริยธรรม (Ethical Leadership) (6) การพัฒนาบุคลากรและการให้คำปรึกษา (Talent Development and Mentorship) (7) การแก้ไขข้อขัดแย้ง (Conflict Resolution) อย่างไรก็ตามคุณสมบัติหลักของหัวหน้าที่ดีประกอบด้วย (1) ทักษะความเห็นอกเห็นใจและการฟังอย่างตั้งใจ (2) การตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอน และ (3) ส่งเสริมนวัตกรรมและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนั้นกลยุทธ์ภาวะผู้นำขั้นสูงได้แก่ (1) ภาวะผู้นำที่ปรับตัวได้: การตอบสนองต่อพลวัตและความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงไป (2) การให้คำปรึกษาและการพัฒนาทักษะ: การบ่มเพาะผู้นำในอนาคต และ (3) เทคนิคการแก้ไขข้อขัดแย้งเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมของทีมที่เป็นหนึ่งเดียว</p>
สมบูรณ์ แก้วละมัย , วัชราภรณ์ จันทนุกูล, สัญญา เคณาภูมิ
Copyright (c) 2025 Administrative Journal for Local Development
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1253
Sat, 10 May 2025 00:00:00 +0700
-
รูปแบบการพึ่งพาตนเองของชุมชน: กรอบงาน กลยุทธ์ และมุมมองระดับโลก
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1254
<p>แนวคิดหลักในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนคือการพึ่งพาตนเองของชุมชน ซึ่งทำให้ชุมชนท้องถิ่นมีความสามารถในการจัดการกับปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง บทความวิจารณ์นี้ใช้ข้อมูลจากการวิจัยสหวิทยาการและกรณีศึกษาในระดับโลกเพื่อศึกษากรอบทฤษฎี โมเดล และกลวิธีที่สนับสนุนการพึ่งพาตนเองของชุมชน โดยพิจารณาถึงกรอบแนวคิดสำคัญต่างๆ เช่น โครงการในชุมชน พันธมิตรความร่วมมือ และกลยุทธ์การดำรงชีพอย่างยั่งยืน โดยเน้นที่ประสิทธิภาพในการทำงานในสภาพแวดล้อมต่างๆ นอกจากนี้ บทความยังกล่าวถึงวิธีการสร้างชุมชนที่พึ่งพาตนเองได้ โดยเน้นที่การสนับสนุนจากรัฐบาล การใช้ทรัพยากร และการสร้างขีดความสามารถ นอกเหนือจากการพัฒนาและแนวโน้มใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมแล้ว ยังครอบคลุมถึงปัญหาต่างๆ เช่น ข้อจำกัดในการบริหาร การขาดแคลนทรัพยากร และความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจและสังคม บทความวิจารณ์นี้เสนอแนะแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้กำหนดนโยบาย ผู้ปฏิบัติงาน และผู้นำชุมชน เพื่อปรับปรุงการพึ่งพาตนเองและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุม โดยเปรียบเทียบวิธีการและบทเรียนที่เรียนรู้จากทั่วโลก</p>
วัชราภรณ์ จันทนุกูล, สมบูรณ์ แก้วละมัย , สัญญา เคณาภูมิ
Copyright (c) 2025 Administrative Journal for Local Development
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1254
Sat, 10 May 2025 00:00:00 +0700
-
สมรรถนะของผู้นำทางการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (ESD)
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1318
<p>บทความนี้มุ่งเน้นศึกษาสมรรถนะของผู้นำทางการศึกษาในบริบทของการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการทบทวนวรรณกรรมเชิงลึกจากแหล่งข้อมูลสากลและการวิจัยในประเทศไทย รวมถึงการศึกษากรณีตัวอย่างของโรงเรียนและองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการนำการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนไปใช้ ซึ่งสมรรถนะหลัก 5 ด้านที่จำเป็นสำหรับผู้นำทางการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ การแก้ปัญหาเชิงกลยุทธ์ ความฉลาดทางอารมณ์ การสร้างสรรค์นวัตกรรม การทำงานร่วมกับทีม และการปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และบทความนี้ได้เสนอแนวทางสำหรับการพัฒนาสมรรถนะดังกล่าว 3 มิติ ได้แก่ การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ การใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการเรียนรู้ และการเรียนรู้จากประสบการณ์ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในองค์กรการศึกษาและชุมชนเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนในระยะยาว การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาสมรรถนะของผู้นำทางการศึกษาในบริบทของการศึกษาเพื่อความยั่งยืน ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างประสิทธิภาพในการบริหารองค์กรการศึกษา แต่ยังช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระดับชุมชนและสังคม แนวทางการพัฒนาผู้นำดังกล่าวเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และสร้างอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน</p>
เสาวนีย์ ภูรินทนาวุธ, สุภารัตน์ งามประดิษฐ์, ปรียาภรณ์ อนุจันทร์
Copyright (c) 2025 Administrative Journal for Local Development
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1318
Sat, 10 May 2025 00:00:00 +0700
-
การศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 1 ปีการศึกษา 2566
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/954
<p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 1 ปีการศึกษา 2566 เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดนโยบายและจุดเน้นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 1 โดยประชากรที่ศึกษาคือ ผู้อำนวยการโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 1 ทุกคน จำนวน 87 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามความต้องการจำเป็นในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 1 ปีการศึกษา 2566 มีค่าความเชื่อมั่น .976 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และจัดลำดับความสำคัญของค่าดัชนีจัดเรียงลำดับความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง (PNI<sub>modified</sub>)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันที่เกี่ยวกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติ อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตามลำดับ ความต้องการในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติ อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตามลำดับ</p>
กฤติน พันธุ์เสนา
Copyright (c) 2025 Administrative Journal for Local Development
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/954
Tue, 06 May 2025 00:00:00 +0700
-
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนบ้านนาดี หมู่ที่ 1 ตำบลหนองระฆัง อำเภอสนม จังหวัดสุรินทร์
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1079
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน บ้านนาดี หมู่ที่1 ตำบลหนองระฆัง อำเภอสนม จังหวัดสุรินทร์ 2) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ ประชาชน บ้านนาดี หมู่ที่ 1 ตำบลหนองระฆัง อำเภอสนม จังหวัดสุรินทร์ และ 3) นำเสนอแนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมทางการเมืองประชาชนบ้านนาดี หมู่ที่ 1 ตำบลหนองระฆัง อำเภอสนม จังหวัดสุรินทร์ โดยใช้รูปแบบวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนบ้านนาดี หมู่ที่ 1 ตำบลหนองระฆัง อำเภอสนม จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 246 คน คัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.848 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ ได้แก่ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t (t-test) ค่า F (One-way ANOVA) กรณีพบความ แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจะใช้การทดสอบรายคู่ด้วยวิธี ของ Fisher’s (Least Significance Difference : LSD) และ ค่านัยสำคัญทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ครั้งนี้ กำหนดไว้ที่ระดับ .05</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1. ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน บ้านนาดี ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 146 คน คิดเป็นร้อยละ 59.3 ส่วนใหญ่มีอายุ 61 ปีขึ้นไป จำนวน 85 คน คิดเป็นร้อยละ 34.6 ส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 141 คน คิดเป็นร้อยละ 57.3 ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร จำนวน 147 คน คิดเป็นร้อยละ 59.8 และส่วนใหญ่ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน พบว่า ประชากรกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ต่ำกว่า 5,000 บาท จำนวน 137 คน คิดเป็นร้อยละ 55.7 ตามลำดับ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนบ้านนาดี โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( x̅ = 3.55, S.D. = 0.470) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่มากที่สุด จำนวน 1 ด้าน และ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง จำนวน 2 ด้าน เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง (x̅ = 4.58, S.D. = 0.375) ด้านการให้ข้อมูลและรับข้อมูลข่าวสารทางการเมือง (x̅ =3.17, S.D. = 0.783) และ ด้านการแสดงความสนใจทางการเมือง (x̅ = 2.62, S.D. = 0.792)</p> <ol start="2"> <li>ผลการเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วนทางการเมืองของประชาชนบ้านนาดี โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่มีเพศต่างกัน มีระดับการมีส่วนทางการเมืองไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุต่างกัน มีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองแตกต่างกัน จึงยอมรับสมมติฐานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่มีการศึกษาต่างกัน มีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่มีอาชีพต่างกัน มีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน มีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองแตกต่างกัน จึงยอมรับสมมติฐานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงเป็นสมมติฐานที่ตั้งไว้</li> <li>แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนบ้านนาดี โดยแยกเป็นรายด้าน พบว่า ในด้านการแสดงความสนใจทางการเมือง ร้อยละ 40.0 ประชาชนกลุ่มตัวอย่างให้ข้อเสนอแนะว่า ควรกระจายข้อมูลข่าวสารทางการเมืองให้ประชาชนได้รับรู้มากขึ้น และ ควรติดตามข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้เพื่อการตัดสินใจที่มีข้อมูลสนับสนุนทางการเมือง ส่วนด้านการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ร้อยละ 40.0 ประชาชนกลุ่มตัวอย่างให้ข้อเสนอแนะว่า ควรทำให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการคัดเลือกหรือสรรหาผู้นำที่ดีมาพัฒนาประเทศ และสุดท้าย คือ ด้านการให้ข้อมูลและรับข้อมูลข่าวสารทางการเมือง ร้อยละ 40.0 ประชาชนกลุ่มตัวอย่างให้ข้อเสนอแนะว่า ควรให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ชัดเจน และถูกต้องมากยิ่งขึ้น</li> </ol>
ณภัทร แผ่นจันทร์, สุรเกียรติ เงางาม, ปนัดดา สร้อยดอก, ชลิดา ทองแสง, สมรักษ์ อรุณรุ่งวัฒนา
Copyright (c) 2025 Administrative Journal for Local Development
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1079
Fri, 09 May 2025 00:00:00 +0700
-
ส่วนประสมทางการตลาดและคุณค่าตราสินค้าที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งจากแมลงชันโรง ภูผาฟาร์ม
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1168
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ ได้แก่ 1) การศึกษาผลของส่วนประสมทางการตลาดที่มีต่อพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งจากแมลงชันโรง 2) การประเมินคุณค่าตราสินค้าที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งจากแมลงชันโรง และ 3) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประสมทางการตลาดและคุณค่าตราสินค้าที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งจากแมลงชันโรง รูปแบบการวิจัยเป็น รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งอิงกับแนวคิดและทฤษฎีส่วนประสมทางการตลาด และทฤษฎีคุณค่าตราสินค้า เป็นกรอบการวิจัย โดยพื้นที่วิจัยถูกจำกัดอยู่ที่อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม กลุ่มตัวอย่างที่เลือกใช้ในการวิจัยนี้คือผู้ใช้ผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งจากแมลงชันโรงจำนวน 400 คน การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีสะดวก (Convenience Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลประกอบด้วย 2 ชนิด ได้แก่ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 พบว่า ผู้บริโภคมักเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีช่องทางการจัดจำหน่ายสะดวกและราคาที่เหมาะสม สำหรับข้อที่ 2 พบว่า การรับรู้ตราสินค้าและความภักดีต่อแบรนด์ส่งผลสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อ ผู้บริโภคมักเลือกผลิตภัณฑ์ที่คุ้นเคยและไว้วางใจ ส่วนข้อที่ 3 พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคุณค่าตราสินค้าและส่วนประสมทางการตลาดมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ โดยเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเลือกซื้อ สรุปได้ว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งจากแมลงชันโรง คือ การสร้างความรับรู้ในตราสินค้า การสื่อสารต่อเนื่อง และ การขยายช่องทางการขาย เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและกระตุ้นการซื้ออย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว</p>
พัทธนันท์ ฉายศิรินันท์, ปราณี เอี่ยมลออภักดี
Copyright (c) 2025 Administrative Journal for Local Development
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1168
Fri, 09 May 2025 00:00:00 +0700
-
คุณภาพการให้บริการที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจของผู้พักอาศัยต่อเจ้าหน้าที่ โครงการหมู่บ้านเก้ามงคลวิลเลจ จังหวัดนครปฐม
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1275
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพการให้บริการของเจ้าหน้าที่โครงการหมู่บ้านเก้ามงคลวิลเลจ จังหวัดนครปฐม (2) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้พักอาศัยโครงการหมู่บ้านเก้ามงคลวิลเลจ จังหวัดนครปฐม และ (3) เพื่อศึกษาคุณภาพการให้บริการมีที่อิทธิพลต่อความพึงพอใจของผู้พักอาศัยต่อเจ้าหน้าที่โครงการหมู่บ้านเก้ามงคลวิลเลจ จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษามีจำนวน 200 คน แบ่งเป็นผู้พักอาศัยในโครงการหมู่บ้านเก้ามงคลวิลเลจ พุทธมณฑลสาย 5 - ไร่ขิง 34 จำนวน 100 ยูนิต และโครงการพุทธมณฑลสาย 5 - ไร่ขิง 26 จำนวน 100 ยูนิต การสุ่มกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มแบบ ระบบ (Systematic Sampling) โดยคัดเลือกตามรายชื่อผู้พักอาศัยในแต่ละโครงการ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม (Questionnaire) ที่ออกแบบให้ครอบคลุม 5 มิติ ได้แก่ ความเป็นรูปธรรมของบริการ ความน่าเชื่อถือ การตอบสนองความต้องการ การให้ความมั่นใจ และการเข้าใจผู้รับบริการ แบบสอบถามนี้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพด้วยการวิเคราะห์ความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และมีค่า ความเชื่อมั่น (Cronbach’s Alpha) เท่ากับ 0.98 ซึ่งแสดงถึงความน่าเชื่อถือในระดับสูง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับการทดสอบสมมติฐาน ใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า (1) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณภาพการให้บริการของเจ้าหน้าที่โครงการ ค่าเฉลี่ยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และรายด้านมากที่สุด คือ ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (2) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับความพึงพอใจของผู้พักอาศัยในโครงการหมู่บ้านเก้ามงคลวิลเลจ ค่าเฉลี่ยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และรายด้านมากที่สุด คือ ด้านการให้บริการอย่างเท่าเทียม (3) ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ความน่าเชื่อถือหรือไว้วางใจ การตอบสนองความต้องการ การให้ความมั่นใจ และการเข้าใจการรับรู้ความต้องการของผู้รับบริการ มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจของผู้พักอาศัยโครงการเก้ามงคลวิลเลจ จังหวัดนครปฐม โดยภาพรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในขณะที่ ความเป็นรูปธรรมของบริการ ไม่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อความพึงพอใจของผู้พักอาศัยโครงการเก้ามงคลวิลเลจ จังหวัดนครปฐม</p>
ปรฉัตร เขื่อนสุวงค์, พิสมัย เหล่าไทย
Copyright (c) 2025 Administrative Journal for Local Development
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1275
Fri, 09 May 2025 00:00:00 +0700
-
เจตคติและการรับรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบินเพื่อการเกษตร
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1678
<p>เทคโนโลยีอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินหรือโดรน (การเกษตร) ถูกนํามาใช้เป็นเครื่องทุ่นแรงอย่างแพร่หลายในภาคการเกษตร ผู้ใช้จึงต้องตระหนักถึงความปลอดภัยต่อชีวิต ทรัพย์สินและสิ่งแวดล้อม การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หาข้อมูลเพิ่มเติมจากงานวิจัยด้านนี้ที่มีมาก่อนหน้า โดยจะศึกษาถึงเจตคติและการรับรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบินเพื่อการเกษตร และเปรียบเทียบเจตคติและการรับรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยดังกล่าว จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเกษตรกรกลุ่มนาข้าวภาคกลาง จำนวน 200 คน วิเคราะห์ผลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มเกษตรกรตัวอย่างมีเจตคติเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบินเพื่อการเกษตร (โดยรวม) อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.53 (S.D=1.243) โดยมีเจตคติสูงสุดในด้านมีความรู้ในเรื่องการใช้สารเพื่อการเกษตร อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.62 (S.D=1.273) ส่วนความคิดเห็นด้านการรับรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยที่ดีในการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบินเพื่อการเกษตร (โดยรวม) อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.93 (S.D=0.887) โดยมีความคิดเห็นว่าการรับรู้ในเรื่องการใช้สารเพื่อการเกษตรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.12 (S.D=0.918) อยู่ในระดับมาก ส่วนผลการเปรียบเทียบเจตคติและการรับรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบินเพื่อการเกษตรจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 บทสรุปจากการวิจัยนี้จะเป็นแนวทางในการรณรงส่งเสริมเจตคติและการรับรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยที่ดีในการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบินเพื่อการเกษตรของเกษตรกรไทย และเป็นประโยชน์ต่อสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่จะนำไปส่งเสริมพัฒนาและสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนำมาใช้ในภาคการเกษตรของประเทศให้เกิดประโยชน์และปลอดภัยยิ่งขึ้น</p>
ชาติชาย เจริญสุข, ณัฏฐาวุฑฒิ์ จิรธัมมวัฒน์, พิชญ์นรี แม้นสงวน, ไชยรัตน์ ชูเกียรติยศ
Copyright (c) 2025 Administrative Journal for Local Development
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/j_asc/article/view/1678
Fri, 09 May 2025 00:00:00 +0700