https://so19.tci-thaijo.org/index.php/Chintasit/issue/feed
วารสารวิชาการจินตาสิทธิ์ (online)
2025-09-24T10:06:38+07:00
Pharamaha Aphipong Khamhongsa Dr.
chintasit.journal@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิชาการจินตาสิทธิ์ (Online)</strong></p> <p>ISSN: 3057-0956 </p> <p><strong>วารสารมีนโยบายรับตีพิมพ์บทความ</strong>: <br />ด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา ศึกษาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และสหวิทยาการด้านสังคมศาสตร์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ นักวิจัย นักวิชาการ ครู อาจารย์ นิสิต นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไป</p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">บรรณาธิการ : </span></strong><strong><span style="font-size: 0.875rem;"><span style="vertical-align: inherit;">พระมหาอภิพงค์ คำหงษา, ดร. </span></span></strong></p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">กองบรรณาธิการ</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ประธานคณะมนตรีปฏิรูปการศึกษาภาคประชาชน<br /></span><span style="vertical-align: inherit;">รองศาสตราจารย์ ดร. สมชัย ศรีนอก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย<br /></span><span style="vertical-align: inherit;">รองศาสตราจารย์ ดร.ธีรศักดิ์ อุปไมยอธิชัย มหาวิทยาลัยนเรศวร<br /></span><span style="vertical-align: inherit;">รองศาสตราจารย์ ดร.พชรวิทย์ จันทร์ศิริสิร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม<br /></span><span style="vertical-align: inherit;">ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.หอมหวล บัวระภา มหาวิทยาลัยขอนแก่น<br /></span><span style="vertical-align: inherit;">ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประยุทธ ชูสอน มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ</span></p> <p><strong>กำหนดออก</strong> : 4 ฉบับต่อปี <br />ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม<br />ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน<br />ฉบับที่ 3 กรกฎาคม – กันยายน และ<br />ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>เงื่อนไขการตีพิมพ์</strong></p> <p>บทความแต่ละบทความจะได้รับการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิก่อนตีพิมพ์ (Peer Review) โดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องและมีความหลากหลายจากแต่ละสถาบัน จำนวนอย่างน้อย 2 ท่าน ทั้งนี้ ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) อย่างไรก็ตาม บทความที่ผ่านการประเมินแล้วจะต้องได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์</p> <p><strong>รับตีพิมพ์บทความทั้ง บทความภาษาไทย และบทความภาษาอังกฤษ</strong></p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ : ยังไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ</strong></p> <p><strong>การติดต่อประสานงานและส่งบทความเผยแพร่ :</strong></p> <p>1. สอบถามรายละเอียดเบื้องต้น เช่น รอบการเผยแพร่ หนังสือตอบรับการตีพิมพ์ เป็นต้น โทร. 0896224068<br />2. Click คำแนะนำสำหรับผู้เขียน<br />3. <a href="https://mbuacth-my.sharepoint.com/:w:/g/personal/chissanapong_so_mbu_ac_th/EXWsQVvJ_5dDuWKaTzgOisMB26wgfWMooswP77cxYQjnqA?e=nowloS">เทมเพลทบทความวิจัย</a> <a href="https://mbuacth-my.sharepoint.com/:b:/g/personal/chissanapong_so_mbu_ac_th/Ee8Gap_VETRNpZmC5qJ4USIB9whHnWQbJztSIraCniSS_w?e=KR5A98">PDF</a><br /><a href="https://mbuacth-my.sharepoint.com/:w:/g/personal/chissanapong_so_mbu_ac_th/EfRIJ95Lr6pLny0pI7nj6AoBNrfJspxzpox7Eq0SedvFcw?e=TIoMHs">4. เทมเพลทบทความวิชาการ</a><br />5. ลงทะเบียนวารสารและส่งบทความในวารสาร<br /><a href="https://mbuacth-my.sharepoint.com/:w:/g/personal/chissanapong_so_mbu_ac_th/ESgZuRhHb-5EnI8ystntgAYBquus75cJhuOlQ55dVKZhAg?e=xWklfi">6. แบบขอส่งบทความตีพิมพ์</a><br />7. Click ลงทะเบียนส่งบทความ<br />8. สแกนไลน์กลุ่มวารสารวิชาการจินตาสิทธิ์ เพื่อการติดต่อประสานงานเผยแพร่บทความ</p>
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/Chintasit/article/view/2473
การศึกษาทักษะการโค้ชและแนวทางการพัฒนาสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1
2025-09-23T21:11:35+07:00
สุดารัตน์ โพธิ์ศรี
aoysudarut@gmail.com
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับทักษะการโค้ชของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 และ 2) ศึกษาและนำเสนอแนวทางการพัฒนาทักษะการโค้ชของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดดังกล่าว การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 302 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ทรงคุณวุฒิทางการบริหารการศึกษา จำนวน 5 ท่าน และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อสังเคราะห์เป็นแนวทางการพัฒนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1. ระดับทักษะการโค้ชของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ใน ระดับมาก (4.24) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ทักษะด้านการสร้างความไว้วางใจ (4.31) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ทักษะด้านการให้ข้อมูลย้อนกลับ (4.19)</p> <p>2. แนวทางการพัฒนาทักษะการโค้ชของผู้บริหารสถานศึกษาสามารถสังเคราะห์ได้ 3 องค์ประกอบหลัก คือ 1) การพัฒนาตนเอง (Self-Development) ซึ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้ในตนเองและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม 2) การพัฒนาโดยองค์กร (Organizational Development) ผ่านการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) และการนิเทศภายในแบบโค้ช และ 3) การลงมือปฏิบัติและถอดบทเรียน (Action & Reflection) ที่เน้นการฝึกฝนในสถานการณ์จริงและการขอข้อมูลสะท้อนกลับอย่างสม่ำเสมอ</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการจินตาสิทธิ์ (online)
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/Chintasit/article/view/2474
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล จังหวัดเลย: กรณีศึกษาเปรียบเทียบระหว่างพื้นที่เมืองและชนบท
2025-09-23T21:26:11+07:00
ภาวิณี แสงนาก
parvinee.san@student.mbu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดเลย 2) เปรียบเทียบความแตกต่างของการมีส่วนร่วมทางการเมืองระหว่างพื้นที่เมืองและชนบท และ 3) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับท้องถิ่น การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างประชาชนในเขตเมืองและชนบทของจังหวัดเลย จำนวน 400 คน และสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 30 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ประชาชนในพื้นที่ชนบทมีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยรวมสูงกว่าพื้นที่เมืองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในพื้นที่เมืองคือระดับการศึกษาและการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ขณะที่พื้นที่ชนบทคือระยะเวลาที่อาศัยในพื้นที่และการเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคม 3) ปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญในพื้นที่เมืองคือการไม่เชื่อมั่นในระบบและการไม่มีเวลา ส่วนในพื้นที่ชนบทคือการขาดความรู้ความเข้าใจและการไม่มีเวลา</p> <p>ผลการวิจัยนำไปสู่การพัฒนาโมเดล RURAL-URBAN Participation Model ที่นำเสนอแนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่แตกต่างกันระหว่างพื้นที่เมืองและชนบท โดยพื้นที่เมืองควรเน้นการพัฒนาช่องทางดิจิทัลและการสร้างความเชื่อมั่น ขณะที่พื้นที่ชนบทควรเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและการพัฒนาศักยภาพผู้นำท้องถิ่น</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการจินตาสิทธิ์ (online)
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/Chintasit/article/view/2475
ภูมิทัศน์วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาของเชียงใหม่: บทบาทของพระเจ้าติโลกราช
2025-09-23T21:35:16+07:00
วรรณิดา ธีระทัศนานันต์
faiy.confidant@gmail.com
หลี่ ฉ้านซง
faiy.confidant@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. 1984-2030) ในการสร้างภูมิทัศน์วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาอาณาจักรล้านนาให้เป็นศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรมที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รัชสมัยของพระเจ้าติโลกราชถือเป็นยุคทองของล้านนา ที่มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา และวัฒนธรรม ผลการศึกษาพบว่า พระเจ้าติโลกราชทรงมีบทบาทสำคัญในการสร้างและพัฒนาภูมิทัศน์วัฒนธรรมผ่านหลายมิติ ได้แก่ การสร้างและขยายวัดสำคัญ โดยเฉพาะการบูรณะต่อเติมเจดีย์หลวงให้สำเร็จด้วยขนาดสูง 45 วา และการสร้างวัดมหาโพธาราม วัดราชมณเฑียร วัดป่าตาล และวัดป่าแดงมหาวิหาร การปฏิรูปพระพุทธศาสนาโดยการสนับสนุนนิกายสีหลและการจัดสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งสำคัญของล้านนาที่วัดมหาโพธารามในปี พ.ศ. 2020 รวมทั้งการสร้างระบบการศึกษาพระปริยัติธรรมที่เป็นมาตรฐานทั่วอาณาจักร การสร้างภูมิทัศน์วัฒนธรรมในรัชสมัยของพระองค์ไม่เพียงเป็นการแสดงความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่ยังเป็นยุทธศาสตร์ทางการเมืองในการสร้างความชอบธรรมและเอกภาพของอาณาจักรล้านนา การวางผังเมืองที่มีวัดกระจายตัวตามทิศทางต่างๆ สร้างเครือข่ายทางศาสนาที่เชื่อมโยงชุมชน และเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ รูปแบบสถาปัตยกรรมที่พัฒนาขึ้นในสมัยนี้ โดยเฉพาะการออกแบบเจดีย์แบบล้านนาและการตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น กลายเป็นเอกลักษณ์และต้นแบบที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาในยุคต่อมา การใช้ภาษาธรรมล้านนาในการจารึกและบันทึกคัมภีร์ทางพุทธศาสนายังส่งผลให้เกิดวรรณกรรมทางศาสนาที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ภูมิทัศน์วัฒนธรรมที่พระเจ้าติโลกราชทรงสร้างไว้ยังคงมีความหมายและคุณค่าต่อชุมชนเชียงใหม่ในปัจจุบัน วัดเจดีย์หลวงและวัดพระสิงห์ยังคงเป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณและสถานที่จัดงานประเพณีสำคัญ การศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการสร้างภูมิทัศน์วัฒนธรรมที่ยั่งยืน และเป็นแนวทางสำคัญในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและการวางแผนพัฒนาเมืองที่คำนึงถึงอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม</p>
2025-09-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการจินตาสิทธิ์ (online)
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/Chintasit/article/view/2476
การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อพัฒนาการสอน
2025-09-24T09:51:48+07:00
พระมหาโยธิน มหาวีโร (มาศสุข)
yithin.mas@mbu.ac.th
<p>บทความวิชาการนี้นำเสนอแนวคิด หลักการ และกระบวนการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) เพื่อพัฒนาการสอนของครู โดยศึกษาจากแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ผลการศึกษาพบว่า PLC เป็นกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงโดยเรียนรู้จากการปฏิบัติงานของกลุ่มครูที่มาร่วมมือร่วมใจกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และพัฒนาการจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาผู้เรียน องค์ประกอบสำคัญของ PLC ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ร่วม ทีมร่วมแรงร่วมใจ ภาวะผู้นำร่วม การเรียนรู้และการพัฒนาวิชาชีพ และชุมชนกัลยาณมิตร กระบวนการ PLC มีขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ การวิเคราะห์สภาพปัญหา การกำหนดเป้าหมายร่วมกัน การออกแบบนวัตกรรม การนำสู่การปฏิบัติและสังเกตผล การสะท้อนผลการปฏิบัติงาน และการสรุปผลและพัฒนาต่อยอด การประยุกต์ใช้ PLC ในบริบทประเทศไทยมีหลายรูปแบบ ทั้งการพัฒนาครูประจำการ การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning การวิจัยในชั้นเรียน การใช้ Lesson Study และการสร้างเครือข่าย PLC ระหว่างโรงเรียน ความสำเร็จของ PLC ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ เช่น ภาวะผู้นำของผู้บริหาร การจัดสรรเวลาและทรัพยากร การสร้างวัฒนธรรมความไว้วางใจ และการมีเป้าหมายที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคหลายประการ เช่น ภาระงานของครูที่มาก ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน การขาดการสนับสนุนจากผู้บริหาร และวัฒนธรรมการทำงานแบบต่างคนต่างทำ ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้การดำเนินงาน PLC เกิดประสิทธิภาพและความยั่งยืนในระบบการศึกษาไทย</p>
2025-09-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการจินตาสิทธิ์ (online)
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/Chintasit/article/view/2477
ปรัชญาจิตวิญญาณนิยมกับการเยียวยาวิกฤตความหมายในสังคมร่วมสมัย
2025-09-24T10:06:38+07:00
พระครูโสภณกิตติสาร (เสกสรรค์) กิตฺติสาโร
phraselcsrrlch@gmail.com
<p>บทความนี้มุ่งศึกษาบทบาทของปรัชญาจิตวิญญาณนิยม (Spiritualism) ในฐานะแนวทางทางเลือกในการเยียวยาวิกฤตความหมาย (Crisis of Meaning) ที่เกิดขึ้นในสังคมร่วมสมัย ภายใต้บริบทของความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวัฒนธรรมที่รวดเร็ว ความรู้สึกแปลกแยกไร้จุดหมาย และความว่างเปล่าทางจิตใจกลายเป็นสภาวะร่วมของผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะในสังคมที่โครงสร้างทางสังคมดั้งเดิมถูกสั่นคลอน และระบบทุนนิยมบริโภคนิยมกลายเป็นอำนาจหลักในการนิยามชีวิต ปรัชญาจิตวิญญาณนิยมซึ่งเน้นการตระหนักรู้ตนเอง ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ และการแสวงหาความหมายเชิงลึก จึงถูกเสนอเป็นแนวทางสำคัญในการฟื้นฟูสมดุลของมนุษย์ในระดับจิตใจและสังคม</p> <p>บทความวิเคราะห์แนวคิดนี้ทั้งในเชิงปรัชญาและการประยุกต์ใช้ โดยเน้นการบูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ เช่น วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และการศึกษา ตลอดจนการประยุกต์ในบริบทไทยผ่านหลักพุทธธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น นอกจากนี้ยังนำเสนอข้อวิพากษ์และข้อจำกัดของจิตวิญญาณนิยม เช่น การถูกทำให้เป็นสินค้าทางจิตวิญญาณในระบบตลาด หรือการใช้เพื่อสนองความต้องการเฉพาะตนโดยไม่แตะต้องปัญหาเชิงโครงสร้าง บทความสรุปว่า การเยียวยาวิกฤตความหมายอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับจิตสำนึกส่วนบุคคล ชุมชน และโครงสร้างสังคม โดยการบูรณาการจิตวิญญาณนิยมต้องมีความลุ่มลึก ยืดหยุ่น และตอบสนองต่อบริบท เพื่อสร้างสังคมที่สมดุลระหว่างความเจริญทางวัตถุกับความมั่นคงทางจิตวิญญาณ</p>
2025-09-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการจินตาสิทธิ์ (online)