วารสารวิชาการ ปขมท.
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal
<p>วารสารวิชาการ ปขมท. (CUAST Journal) จัดทำขึ้นโดยที่ประชุมสภาข้าราชการ พนักงานและลูกจ้าง มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปขมท.) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและบทความวิจัยของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการในสถาบันอุดมศึกษา และเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ อันเป็นแนวทางนำไปสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกันและบังเกิดประสิทธิภาพในการทำงาน</p> <p>ผลงานที่ส่งมาตีพิมพ์ จะต้องเป็นผลงานทางวิชาการและบทความวิจัยของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการในสถาบันอุดมศึกษาเท่านั้น เป็นผลงานที่แก้ไข ปรับปรุง หรือพัฒนางานประจำให้ดีขึ้น สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง หรือเป็นงานวิจัยสถาบัน เป็นการดำเนินงานวิจัยเชิงประเมินเกี่ยวกับองค์กร หรือเป็นผลวิจัยและค้นคว้าหรือสำรวจ หรือบทความแสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ ที่ยังไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารอื่นใดมาก่อน และไม่ได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาลงวารสารใดๆ </p> <p><strong>ขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์</strong><br /> รับตีพิมพ์บทความ จำนวน 3 สาขา ได้แก่ 1) สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2) สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และ 3) สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยบทความวิจัยและบทความวิชาการที่จะนำมาตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ปขมท. นี้ จะต้องได้รับการตรวจสอบทางวิชาการ (Peer review) ก่อน จากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้นๆ โดยผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อยบทความละ 3 ท่าน และผ่านความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการวารสาร โดยผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความไม่ทราบชื่อผู้เขียนและผู้เขียนไม่ทราบชื่อผู้ประเมินบทความ (Double blind) และผู้ประเมินไม่อยู่ในสังกัดเดียวกับผู้เขียนบทความ (<a href="https://drive.google.com/drive/folders/1dO_ncL-qJkkMCMQfy0OmLOEjrLcQGf36?usp=sharing" target="_blank" rel="noopener">CUAST Journal Template</a>) <img src="https://wjst.wu.ac.th/public/site/images/admin/newdata12.gif" alt="" /></p> <p><strong>ประเภทของบทความ (บทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)</strong><br /> 1. บทความวิจัย <br /> 2. บทความวิชาการ <br /><br /><strong>กำหนดเผยแพร่</strong><br /> ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เมษายน<br /> ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม<br /> ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน-ธันวาคม</p> <p><strong>จำนวนบทความต่อฉบับ</strong><br /> 20-25 บทความ</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong><br /> วารสารวิชาการ ปขมท. (CUAST Journal) ไม่มีค่าธรรมเนียมการส่งบทความ ไม่มีค่าธรรมเนียมในกระบวนการจัดการบทความ ไม่มีค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์เผยแพร่ใดๆ ทั้งสิ้น</p> <p><strong>หัวหน้าบรรณาธิการ</strong><br /> <a href="https://biography.oas.psu.ac.th/biography_management/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99/" target="_blank" rel="noopener">ศาสตราจารย์ ดร.ปริศวร์ ยิ้นเสน</a> คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จังหวัดปัตตานี</p> <p><strong>สำนักพิมพ์</strong><br /> ที่ประชุมสภาข้าราชการ พนักงานและลูกจ้าง มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปขมท.)</p> <p><strong>หมายเหตุ</strong> วารสารวิชาการ ปขมท. (CUAST Journal) กำหนดค่าการตรวจความซ้ำซ้อนด้วยโปรแกรม CopyCatch ผ่านเว็บไซต์ Thaijo สำหรับบทความวิจัยและบทความวิชาการ โดยมีผลตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป</p>
th-TH
cuast.journal2@gmail.com (CUAST Journal)
cuast.journal2@gmail.com (วารสารวิชาการ ปขมท. )
Tue, 01 Apr 2025 00:00:00 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการจัดทำผลงานทางวิชาการ ของคณาจารย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ยังไม่มีตำแหน่งทางวิชาการ
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2080
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการจัดทำผลงานทางวิชาการ <br>ของคณาจารย์มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ยังไม่มีตำแหน่งทางวิชาการ และเสนอแนวทางสนับสนุนให้คณาจารย์จัดทำผลงานทางวิชาการได้สำเร็จ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ คณาจารย์มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ยังไม่มีตำแหน่งทางวิชาการ จำนวน 242 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตารางของเคร็จซี่และมอร์แกน สุ่มตัวอย่างแบบโควตาโดยใช้คณะเป็นเกณฑ์ คำนวณจำนวนกลุ่มตัวอย่างในแต่ละชั้นโดยเทียบบัญญัติไตรยางศ์ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบปลายเปิด เสนอผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ตรวจความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา มีค่าความเชื่อมั่น (IOC) ระหว่าง 0.84 - 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการจัดทำผลงานทางวิชาการ ภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงตามลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล ด้านการส่งเสริมสนับสนุนจากผู้เกี่ยวข้อง และด้านความรู้ความเข้าใจในการจัดทำผลงานทางวิชาการ 2) เสนอแนวทางสนับสนุนให้คณาจารย์จัดทำผลงานทางวิชาการได้สำเร็จ คือ คณาจารย์ต้องวางแผนกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน สร้างเครือข่ายเพื่อหาแนวคิดเชิงสร้างสรรค์มาผลิตผลงานที่ไม่ซ้ำซ้อนผู้อื่น อาจหาโจทย์วิจัยจากผู้ประกอบการหรือพัฒนาจากหน้างานจริงมาต่อยอด อีกทั้ง หน่วยงานต้นสังกัด ควรพิจารณาจัดสรรภาระงานให้เหมาะสม เพิ่มแรงจูงใจเกี่ยวกับค่าตอบแทนพิเศษ จัดหาแหล่งทุน ปัจจัยเกื้อหนุน เพิ่มการเข้าถึงฐานข้อมูล มหาวิทยาลัยควรมีนโยบายกระตุ้นให้คณาจารย์จัดทำผลงานทางวิชาการ จัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หลักเกณฑ์การขอตำแหน่งทางวิชาการต้องมีความชัดเจนไม่ปรับเปลี่ยนบ่อย ปรับกระบวนการไม่ให้ยุ่งยาก มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน มีตัวอย่างเผยแพร่ให้ศึกษาได้ด้วยตนเอง เจ้าหน้าที่ต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องช่วยอำนวยความสะดวก มีการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ อาจจัดตั้งหน่วยงานให้คำปรึกษาโดยตรง มีระบบที่ปรึกษาเพื่อให้ผลงานทางวิชาการที่จัดทำมีมาตรฐานเป็นไปในแนวทางเดียวกัน</p>
นวิพรรณ ตันติพลาผล
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2080
Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
ระดับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2081
<p>การวิจัยเชิงพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา กลุ่มตัวอย่างคือนิสิตที่กำลังศึกษาในชั้นปีที่ 1-2 กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้สูตรของเครชีและมอร์แกนและเพิ่มร้อยละ 5 เป็น 300 คน เครื่องมือคือแบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น 0.90 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษาข้อมูลส่วนบุคคลด้านเพศ พบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 90.00 อาศัยอยู่ภาคเหนือมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 44.70 ส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนรัฐบาล คิดเป็นร้อยละ 94.30 มีเกรดเฉลี่ยระหว่าง 3.00-3.49 คิดเป็นร้อยละ 40.70 ผู้ปกครองประกอบอาชีพเกษตรกร คิดเป็นร้อยละ 35.70 มีรายได้เฉลี่ยต่อปี อยู่ระหว่าง 100,000 – 199,999 บาท คิดเป็นร้อยละ 45.70 การตัดสินใจกลุ่มที่มากที่สุดกำลังศึกษาในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอนามัยชุมชน คิดเป็นร้อยละ 44.70 ด้านปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเข้าศึกษา พบว่า มีเพียงปัจจัยด้านหลักสูตรที่อยู่ในระดับสูง ส่วนปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยด้านครอบครัว ปัจจัยด้านการเงิน และปัจจัยด้านสถาบันอยู่ในระดับปานกลาง</p>
สุนิสา ชากุลนา, สุวรรณา ทันแก้ว , ประจวบ แหลมหลัก
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2081
Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการเคมีวิเคราะห์ สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ตามมาตรฐาน ESPReL
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2056
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อประเมินและสำรวจห้องปฏิบัติการเคมีวิเคราะห์ด้านการจัดการความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ และ 2) เพื่อพัฒนาห้องปฏิบัติการเคมีวิเคราะห์ให้ปลอดภัยตามมาตฐานการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการวิจัยในประเทศไทย (Enhancement of Safety Practice in Research Laboratory in Thailand, ESPReL) ซึ่งผู้วิจัยจัดเก็บข้อมูลและประเมินตามรายการสำรวจ (ESPReL Checklist) ตามองค์ประกอบของความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการทั้ง 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การบริหารระบบจัดการความปลอดภัย 2) ระบบการจัดการสารเคมี 3) ระบบการจัดการของเสีย 4) ลักษณะทางกายภาพของห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์ และเครื่องมือ 5) ระบบการป้องกันและแก้ไขภัยอันตราย 6) การให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ และ 7) การจัดการข้อมูลและเอกสาร การประเมินความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการ ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมหลังการดำเนินการยกระดับความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการเคมีวิเคราะห์ ครั้งที่ 1 และ 2 สูงกว่าก่อนการดำเนินการ คิดเป็นร้อยละ 21.1 และ 24.8 ตามลำดับ เมื่อพิจารณาตามองค์ประกอบพบว่า องค์ประกอบที่ 6 และองค์ประกอบที่ 7 สามารถยกระดับความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการเคมีวิเคราะห์ตามมาตรฐาน ESPReL เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับก่อนการดำเนินการ คิดเป็นร้อยละ 59.3 และ 53.6 ตามลำดับ รองลงมาคือ องค์ประกอบที่ 4 ก่อนและหลังการดำเนินการไม่มีการเปลี่ยน คิดเป็นร้อยละ 98.5 และการประเมินครั้งที่ 2 ขององค์ประกอบที่ 2, 1, 3, และ 5 คิดเป็นร้อยละ 94.1, 93.3, 92.7 และ 92.0 เมื่อเทียบกับก่อนการดำเนินการเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 11.8, 14.3, 9.7 และ 21.6 ตามลำดับ</p>
กาญจณา ขันทกะพันธ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2056
Thu, 19 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
ความต้องการและแนวทางการพัฒนางานบริการสหกิจศึกษาของนิสิตคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2078
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการของนิสิตที่มีต่องานบริการสหกิจศึกษา คณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา และเสนอแนวทางการพัฒนางานบริการสหกิจศึกษาของนิสิต คณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นิสิตคณะโลจิสติกส์ที่ลงเรียนรายวิชาสหกิจศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแนวทางการพัฒนางานบริการสหกิจศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า ความต้องการของนิสิตที่มีต่องานบริการสหกิจศึกษาคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation">= 4.13, SD = 0.74) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านกระบวนการและขั้นตอนการให้บริการ ด้านสารสนเทศหน่วยงาน และด้านคุณภาพการให้บริการ สำหรับแนวทางการพัฒนางานบริการสหกิจศึกษาของนิสิตคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา พบว่า ด้านกระบวนการและขั้นตอนการให้บริการ ควรมีการติดตามผลการปฏิบัติงานสหกิจศึกษาของนิสิตเป็นระยะ พร้อมสรุปจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละสถานประกอบการ เพื่อเป็นข้อมูลให้นิสิตรุ่นต่อไปใช้ตัดสินใจเลือกสถานประกอบการ ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ สถานศึกษา และสถานประกอบการควรจัดให้มีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาและดูแลการนิเทศงานสหกิจศึกษา โดยทุกคนต้องเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนิสิต ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ควรเน้นไปที่การจัดการข้อมูลและเอกสารอ้างอิงเกี่ยวกับการปฏิบัติงานสหกิจศึกษาอย่างเป็นระบบ ด้านคุณภาพการให้บริการ ควรมีความรวดเร็ว ดำเนินงานอย่างเป็นระบบ และตรวจสอบได้ และด้านสารสนเทศหน่วยงาน ควรมีการแจ้งข้อมูลข่าวสารในรูปแบบออนไลน์อย่างต่อเนื่อง โดยย่อยข้อมูลจากประกาศ คำสั่ง หรือขั้นตอนที่เป็นวิชาการ นำเสนอในรูปแบบอินโฟกราฟิก หรือวิดีโอคลิปสั้น ๆ</p>
ศุภมาส หวานสนิท, นิภาพรรณ อนันต์พลศักดิ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2078
Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
สมรรถนะที่จำเป็นและแนวทางการพัฒนาบุคลากรสายสนับสนุนด้านการจัดหารายได้ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2079
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ศึกษาสมรรถนะที่จำเป็นในการปฏิบัติงานของบุคลากรสายสนับสนุนที่รับผิดชอบด้านการจัดหารายได้ 2. เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาสมรรถนะที่จำเป็นของบุคลากรสายสนับสนุนที่รับผิดชอบด้านการจัดหารายได้ ประชากรกลุ่มเป้าหมายในครั้งนี้ เป็นบุคลากรสายสนับสนุนที่รับผิดชอบด้านจัดหารายได้ สังกัดกองบริหารงานคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน 8 คน และผู้บริหารระดับสูงของคณะที่กำหนดและกำกับนโยบายด้านจัดหารายได้ จำนวน 2 คน เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาค้นคว้าแนวคิดทฤษฎี วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกตามหลักการบริหารงานเชิงคุณภาพ (PDCA) ผลการวิจัยพบว่า 1. สมรรถนะที่จำเป็นในการปฏิบัติงานของบุคลากรสายสนับสนุนที่รับผิดชอบด้านจัดหารายได้ มีดังนี้ (1.1) สมรรถนะด้านการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ (1.2) สมรรถนะด้านการสื่อสาร (1.3) สมรรถนะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (1.4) สมรรถนะด้านความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการด้านศิลปกรรม 2. แนวทางการพัฒนาสมรรถนะที่จำเป็น มีดังนี้ (2.1)<strong> อบรมเชิงปฏิบัติการโดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านการบริหารเชิงกลยุทธ์ ด้านเทคนิคการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ ด้านเทคนิคการวิเคราะห์ผลงานศิลปกรรม (</strong><strong>2.2) </strong><strong>อบรมในขณะปฏิบัติงานโดยการเรียนรู้ด้วยตนเองด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (</strong><strong>2.3)</strong><strong>อบรมขณะปฏิบัติงานโดยอาศัยสภาพแวดล้อมการปฏิบัติงานจริง (</strong><strong>2.4)</strong><strong>การเพิ่มคุณค่าในงานโดยการมอบหมายงาน การให้คำปรึกษาแนะนำและการสอนงาน</strong></p>
ปรียชาต การปลื้มจิตต์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2079
Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การศึกษาการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนกลยุทธ์ของบุคลากรคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1994
<p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนกลยุทธ์ของบุคลากร และเพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลต่อระดับการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนกลยุทธ์ของบุคลากร คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้ปฏิบัติงานในคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แก่ อาจารย์ชาวไทย จำนวน 113 คน และเจ้าหน้าที่สายสนับสนุนวิชาการ จำนวน 56 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคอมพิวเตอร์ และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติสหสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวแปรขึ้นไป ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 111 คน คิดเป็นร้อยละ 65.7 มีอายุระหว่าง 37 – 46 ปี จำนวน 106 คน คิดเป็นร้อยละ 62.7 ระดับการศึกษา ส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท จำนวน 62 คน คิดเป็นร้อยละ 36.7 มีตำแหน่งเป็นบุคลากรสายวิชาการ จำนวน 109 คน คิดเป็นร้อยละ 64.5 และระยะเวลาที่ปฏิบัติงานในคณะศิลปศาสตร์ ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 11 – 15 ปี จำนวน 72 คน คิดเป็นร้อยละ 42.6 ผู้ตอบแบบสอบถามมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนกลยุทธ์ของบุคลากรคณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนกลยุทธ์ด้านการดำเนินงานตามแผน มีส่วนร่วมเป็นอันดับที่หนึ่ง และจากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า บุคลากรคณะศิลปศาสตร์ที่มีเพศ อายุ และระยะเวลาที่ปฏิบัติงานในคณะศิลปศาสตร์ต่างกัน มีระดับการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนกลยุทธ์ของคณะฯ ในภาพรวม ไม่แตกต่างกัน และบุคลากรคณะศิลปศาสตร์ที่มีระดับการศึกษาและตำแหน่งต่างกัน มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนกลยุทธ์ ในภาพรวมแตกต่างกัน</p>
ณภิชญา วงศ์เทพบุตร
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1994
Thu, 05 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การวิเคราะห์ต้นทุนการให้บริการ เครื่องนิวเคลียร์แมกเนติกเรโซแนนซ์สเปกโทรมิเตอร์ ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2049
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุนและจุดคุ้มทุนของการให้บริการตรวจวิเคราะห์ฯ ด้วยเครื่อง Nuclear Magnetic Resonance spectrometer (NMR) ของศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ด้วยการเก็บข้อมูลต้นทุนตามความสัมพันธ์ของระดับกิจกรรมของปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ผลการศึกษาพบว่า เครื่อง Solid-state NMR 400 MHz และ Solution-state NMR 500 MHz มีอัตราส่วนต้นทุนเงินสดคงที่: ต้นทุนผันแปร เท่ากับ 94.72 : 5.28 และ 90.05 : 9.95 ตามลำดับ และมีต้นทุนค่าเสื่อมราคาครุภัณฑ์ เป็นต้นทุนที่ไม่ใช่เงินสดที่สูงที่สุด คิดเป็น ร้อยละ 79.56 และ ร้อยละ 84.16 ตามลำดับ และมีต้นทุนค่าบำรุงรักษา-กรณีเติมฮีเลียมเหลว เป็นต้นทุนที่เป็นเงินสดที่สูงที่สุด คิดเป็น ร้อยละ 27.35 และ ร้อยละ 42.65 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่า การที่จะบริหารงบประมาณให้ดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีศักยภาพเต็มที่ คณะวิทยาศาสตร์จะต้องจัดสรรและควบคุมงบประมาณสำหรับปีงบประมาณถัดไป ในการให้บริการวิเคราะห์ฯ ด้วยเครื่อง Solid-state NMR 400 MHz และ Solution-state NMR 500 MHz เป็นจำนวนเงิน 649,514.28 และ 883,111.95 บาท ตามลำดับ รวมทั้ง ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ฯ จะต้องให้บริการวิเคราะห์ฯ ด้วยเครื่อง Solid-state NMR 400 MHz โดยในแต่ละเดือนจะต้องมีจำนวนตัวอย่างส่งวิเคราะห์ ไม่ต่ำกว่า 42 ตัวอย่าง (อัตราสำหรับหน่วยงานราชการ) หรือ34 ตัวอย่าง (อัตราสำหรับหน่วยงานเอกชน) จึงจะคุ้มทุนต้นทุนที่เป็นเงินสดและสำหรับเครื่อง Solution-state NMR 500 MHz จะต้องมีจำนวนตัวอย่างส่งวิเคราะห์ ไม่ต่ำกว่า 73 ตัวอย่าง(อัตราสำหรับหน่วยงานราชการ) หรือ 62 ตัวอย่าง (อัตราสำหรับหน่วยงานเอกชน) การให้บริการวิเคราะห์ฯ ด้วยเครื่อง NMR ของศูนย์เครื่องมือฯ จึงจะสามารถอยู่รอดในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันได้</p>
ธนาภรณ์ มาศวรรณา
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2049
Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การสำรวจความเป็นเลิศในการวิจัย: สถานการณ์ผลงานตีพิมพ์ที่อยู่ใน SDGs ของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยใช้ SciVal ปี พ.ศ. 2561-2566
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2013
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ผลงานตีพิมพ์ที่อยู่ในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) 1-16 ของมหาวิทยาลัยมหิดล ปี พ.ศ. 2561-2566 ใช้วิธีการค้นหาและเก็บรวบรวมข้อมูลผลงานตีพิมพ์ทั้งหมดของมหาวิทยาลัย ที่ถูกจัดอยู่ในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 1-16 จาก SciVal โดยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนผลงานตีพิมพ์ จำนวนการอ้างอิง จำนวนการอ้างอิงต่อบทความ ค่า Field-Weighted Citation Impact (FWCI) และสาขาวิชา ผลการศึกษาพบว่า ผลงานตีพิมพ์ระดับนานาชาติของมหาวิทยาลัยมหิดลจากฐานข้อมูล SciVal ปี พ.ศ.2561-2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 23,386 บทความ และถูกจัดอยู่ในเป้าหมาย 1-16 จำนวน 10,935 บทความ โดยบทความในเป้าหมายที่ 3: มีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี มีจำนวนมากที่สุดคือ 8,452 บทความ และมีจำนวนการอ้างอิงสูงที่สุดคือ 122,434 ครั้ง และบทความในเป้าหมายที่ 16: สังคมสงบสุข ยุติธรรม ไม่แบ่งแยก มีจำนวนการอ้างอิงต่อบทความสูงที่สุดคือ 23.59 ครั้งต่อเรื่อง และค่า FWCI สูงที่สุดคือ 2.06 นอกจากนี้ยังพบว่าในสาขา Medicine มีจำนวนบทความสูงที่สุดใน 6 เป้าหมาย คือ เป้าหมายที่ 1: ขจัดความยากจน, เป้าหมายที่ 2: ขจัดความหิวโหย, เป้าหมายที่ 3: มีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี, เป้าหมายที่ 5: ความเท่าเทียมทางเพศ, เป้าหมายที่ 10: ลดความเหลื่อมล้ำ และ เป้าหมายที่ 16: สังคมสงบสุข ยุติธรรม ไม่แบ่งแยก ตามลำดับ สรุปผลการศึกษาพบว่ามหาวิทยาลัยมหิดลสามารถบูรณาการการวิจัยที่เกี่ยวกับ Medicine เข้าได้กับทุกเป้าหมาย โดยข้อมูลดังกล่าวใช้เป็นข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบการตัดสินใจ สามารถนำไปกำหนดนโยบาย และส่งเสริมสนับสนุนทิศทางการขับเคลื่อนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป</p>
สุปรานี ลิ้มพวงแก้ว
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2013
Thu, 12 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและภาวะการมีงานทำของนักศึกษาคณะครุศาสตร์ หลักสูตร 5 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ที่ผ่านการคัดเลือกประเภทคัดเลือกเรียนดีและประเภทความสามารถพิเศษ (โควตา) กับประเภทสอบคัดเลือกทั่วไป (รอบทั่วไป)
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2027
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาคณะครุศาสตร์ หลักสูตร 5 ปี จำแนกตามสาขาวิชาและประเภทของการผ่านการสอบคัดเลือก 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาจำแนกตามสาขาวิชาและประเภทของการผ่านการสอบคัดเลือก 3) ศึกษาภาวะการมีงานทำของนักศึกษา จำแนกตามสาขาวิชาและประเภทของการผ่านการสอบคัดเลือก กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ หลักสูตร 5 ปี ปีการศึกษา 2564 เก็บรวบรวมข้อมูลค่าคะแนนเฉลี่ยของแต่ละคน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) นักศึกษาคณะครุศาสตร์ หลักสูตร 5 ปี จำนวน 389 คน เป็นนักศึกษาที่ผ่านการคัดเลือกประเภท (โควตา) จำนวน 268 คน สำเร็จการศึกษาจำนวน 230 คน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยอยู่ในระดับดีมาก จำแนกตามสาขาวิชาพบว่าทุกสาขามีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับดีมาก และนักศึกษาประเภท (รอบทั่วไป) จำนวน 121 คน สำเร็จการศึกษาจำนวน 102 คน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับดีมาก จำแนกตามสาขาวิชาพบว่า สาขาวิชาภาษาอังกฤษมีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับดีเยี่ยม สาขาการศึกษาปฐมวัย ภาษาไทย สังคมศึกษา ดนตรีศึกษา คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทั่วไปมีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับดีมาก และสาขาวิชาพลศึกษามีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับดี</p> <p>2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาคณะครุศาสตร์ หลักสูตร 5 ปี ที่รับเข้าศึกษาโดยระบบรอบทั่วไป <br>มีค่าคะแนนเฉลี่ยสูงกว่านักศึกษาที่รับเข้าศึกษาโดยระบบโควตา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>3) นักศึกษาประเภทโควตา สำเร็จการศึกษาจำนวน 230 คน มีงานทำจำนวน 179 คน คิดเป็นร้อยละ 77.83 และนักศึกษาประเภททั่วไป สำเร็จการศึกษาจำนวน 102 คน มีงานทำจำนวน 83 คน คิดเป็นร้อยละ 81.37</p>
อรวรรณ ปันทะนะ
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2027
Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
ผลของโครงการ HAPPY MONEY @TROPMED ต่อพฤติกรรมและความรู้ด้านการเงินและ การบรรลุเป้าหมายการเก็บออม ของบุคลากรคณะเวชศาสตร์เขตร้อน
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1996
<p>มหาวิทยาลัยมหิดล มีโครงการสร้างความยั่งยืนด้านการเงิน ด้วยการส่งเสริมความรู้การลงทุนแก่บุคลากรในมหาวิทยาลัยมหิดล โดยร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดทำ “โครงการส่งเสริมทักษะทางการเงินสำหรับคนวัยทำงาน (Fin ดี Happy Life)” ซึ่งคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ได้เข้าร่วมโครงการและจัดกิจกรรมเพิ่มเติมเพื่อส่งต่อความรู้ให้กับบุคลากรภายในคณะฯ ภายใต้ชื่อ “โครงการ HAPPY MONEY @TROPMED” ผ่านวิทยากรประจำหน่วยงาน</p> <p>ผู้วิจัยสำรวจผลการดำเนินงานโครงการ HAPPY MONEY @TROPMED ต่อพฤติกรรมและความรู้ด้านการเงินและการบรรลุเป้าหมายการเก็บออม ของบุคลากรคณะเวชศาสตร์เขตร้อนที่เข้าร่วมโครงการฯ ผลการวิจัย พบว่าผู้เข้าร่วมโครงการฯ ส่วนใหญ่ บรรลุเป้าหมายการเก็บออม ร้อยละ 70.1 มีเงินออมขณะร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้น 364,970.50 บาท (เฉลี่ย 4,010.66 บาทต่อคน) ผลการตรวจสุขภาพการเงิน ก่อนร่วมโครงการ พบว่าด้านความรู้ทัศนคติ มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด หลังร่วมโครงการ ในภาพรวม พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นทั้ง 4 ด้าน (ด้านการใช้จ่าย ด้านการออม ด้านสินเชื่อ และด้านความรู้ทัศนคติ) โดยด้านการใช้จ่ายและด้านการออม มีคะแนนเพิ่มขึ้นและมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะที่ด้านสินเชื่อและด้านความรู้ทัศนคติ มีคะแนนเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ในด้านความพึงพอใจในการร่วมโครงการฯ พบว่าผู้ร่วมโครงการฯ มีความพึงพอใจในการร่วมโครงการในระดับสูง</p> <p>ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่า โครงการ HAPPY MONEY @TROPMED มีประโยชน์ต่อการสร้างความยั่งยืนทางด้านการเงิน ของบุคลากรคณะเวชศาสตร์เขตร้อน โดยควรดำเนินการอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ร่วมโครงการ เพื่อให้บรรลุผลในการสร้างความยั่งยืนทางด้านการเงิน และเพื่อให้คณะเวชศาสตร์เขตร้อนบรรลุเป้าหมายในการเป็นองค์กรแห่งคุณภาพเพื่อความยั่งยืน</p>
ไพริน บุญประเสริฐ, ปัณณวิช ปรางอำพร, ศิริอรุณ แซ่โซว, ชุติมา ปฐมกำเนิด
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1996
Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
ความเห็นต่อการใช้งานระบบ QR Code ในการตรวจครุภัณฑ์ของบุคลากร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2051
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความเห็นที่มีต่อการใช้งานระบบ QR Code มาประยุกต์ใช้ในการทำงานในการตรวจครุภัณฑ์ของบุคลากร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล การศึกษาครั้งนี้จะเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างของ บุคลากรทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วงปี พ.ศ. 2566 โดยการตอบแบบสอบถามออนไลน์ ซึ่งคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจากกลุ่มบุคลากรที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการตรวจครุภัณฑ์ประจำปี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 107 คน ในช่วงระหว่างเดือน มีนาคม - สิงหาคม ปี พ.ศ. 2566 ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างผู้รับผิดชอบการตรวจครุภัณฑ์ จำนวน 80 คน การสุ่มตัวอย่างโดยการเลือกแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) และใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือการวิจัย (Questionnaire) โดยใช้ข้อมูลทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลจากการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง เคยทำการตรวจครุภัณฑ์ทุกปี มีช่วงอายุ 31-40 ปี และ มีอายุงานมากกว่า 15 ปี ระดับความต้องการและปัญหาการประยุกต์ใช้งานระบบ QR Code ในการตรวจครุภัณฑ์ และ ความต้องการเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้งานระบบ QR Code เพื่อลดเวลาในการตรวจครุภัณฑ์ อยู่ในระดับปานกลาง จึงควรมีการที่จะสร้างแรงจูงใจ ให้ความสำคัญกับการยอมรับการใช้เทคโนโลยีเพื่อเป็นแนวทางการวางแผนและพัฒนาด้านต่าง ๆ <br>ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล</p>
ณฤชา วิมลลักษณ์, รชะ ไทยประกอบ
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2051
Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
ระบบการจองห้องและครุภัณฑ์ออนไลน์ศูนย์วินิจฉัยและชันสูตรโรคสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มทร.ศรีวิชัย ทุ่งใหญ่
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2019
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาระบบการจองห้องและครุภัณฑ์ออนไลน์ 2) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการต่อระบบการจองห้องและครุภัณฑ์ออนไลน์ โดยเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วยแบบประเมินความพึงพอใจในการใช้งานระบบการจองห้องและครุภัณฑ์ออนไลน์ ศูนย์วินิจฉัยและชันสูตรโรคสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มทร.ศรีวิชัย ทุ่งใหญ่ แบบประเมินความพึงพอใจได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ก่อนนำไปใช้เก็บข้อมูลและดำเนินการ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการประเมินความพึงพอใจการใช้งานระบบการจองห้องและครุภัณฑ์ออนไลน์ ศูนย์วินิจฉัยและชันสูตรโรคสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มทร.ศรีวิชัย ทุ่งใหญ่ จำนวน 20 คน ผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานด้านเนื้อ ด้านการออกแบบและด้านการนำไปใช้งาน พบว่าผู้ใช้ระบบการจองห้องและครุภัณฑ์ออนไลน์ ศูนย์วินิจฉัยและชันสูตรโรคสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มทร.ศรีวิชัยทุ่งใหญ่มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดในทุกด้าน ค่าเฉลี่ยรวม 4.71±0.44 , 4.81±0.39 และ 4.83±0.37 ตามลำดับ ดังนั้นจากผลการพัฒนาระบบการจองห้องและครุภัณฑ์ออนไลน์ ศูนย์วินิจฉัยและชันสูตรโรคสัตว์ คณะสัตว-แพทยศาสตร์ มทร.ศรีวิชัย ทุ่งใหญ่ และความพึงพอใจของผู้ใช้บริการอยู่ในระดับดีมากซึ่งมีประโยชน์สำหรับการนำระบบการจองห้องและครุภัณฑ์ออนไลน์ ศูนย์วินิจฉัยและชันสูตรโรคสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มทร.ศรีวิชัยทุ่งใหญ่ไปใช้ที่ศูนย์วินิจฉัยและชันสูตรโรคสัตว์ต่อไป</p>
นันทพร ชูเรือง, วาสนา จิตสมุทร์ , สุภาพร กาญจนศิราธิป
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2019
Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้เพื่องานประกันคุณภาพการศึกษาภายในของ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2044
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้เพื่องานประกันคุณภาพการศึกษาภายในของวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดกรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัยโดยการศึกษา จากเอกสาร ตำรา บทความทางวิชาการ การทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยศึกษาสภาพที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้เพื่องานประกันคุณภาพการศึกษาภายใน โดยใช้หลักกระบวนการดำเนินงานตามวงจรคุณภาพ Deming Cycle หรือ PDCA ร่วมกับกระบวนการการจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) ตามหลักการบริหารแบบองค์รวม ขั้นตอนที่ 3 การประเมินรูปแบบ การจัดการความรู้เพื่องานประกันคุณภาพการศึกษาภายใน โดยการสนทนากลุ่มและใช้แบบสอบถามประเมิน เชิงยืนยัน ขั้นตอนที่ 4 การตรวจสอบรูปแบบการจัดการความรู้เพื่องานประกันคุณภาพการศึกษาภายใน โดยการนำรูปแบบที่ได้รับการปรับปรุงจากขั้นตอนที่ 3 ไปทดลองใช้ในการปฏิบัติงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในของวิทยาลัยนานาชาติ ในปีการศึกษา 2565</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการจัดการความรู้เพื่องานประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ที่พัฒนาขึ้นมีผลการประเมินความเหมาะสมของกระบวนการ มากที่สุด ที่ค่าเฉลี่ย 4.89 และผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการจัดการความรู้มากที่สุด ที่ค่าเฉลี่ย 4.74 ทั้งนี้ได้มีข้อเสนอแนะสำหรับการศึกษาในครั้งต่อไปว่าควรนำแนวทางการจัดการความรู้ไปใช้ในสถานศึกษาอื่น และศึกษาถึงปัจจัยที่ส่งผลสำเร็จต่อการจัดการความรู้</p>
ศศิภา มหาดิลก
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2044
Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การรับรู้ข่าวสารและความพึงพอใจของผู้ใช้บริการที่มีต่อการประชาสัมพันธ์ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1997
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้ข่าวสารผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ และความพึงพอใจต่อการประชาสัมพันธ์ของผู้ใช้บริการสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา จำแนกตามสื่อประชาสัมพันธ์และกลุ่มผู้ใช้บริการโดยใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ใช้บริการสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ นิสิตระดับปริญญาตรี นิสิตระดับบัณฑิตศึกษา อาจารย์และนักวิจัย บุคลากรของมหาวิทยาลัย และบุคคลภายนอก จำนวน 1,412 คน คัดเลือกโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า การรับรู้ข่าวสารการประชาสัมพันธ์ของสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก สื่อประชาสัมพันธ์ที่รับรู้ที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ สื่อกิจกรรม รองลงมาคือ สื่อออนไลน์ สื่อบุคคล สื่อโสตทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์ ตามลำดับ โดยนิสิตระดับปริญญาตรี รับรู้สื่อประชาสัมพันธ์ข่าวสารผ่านสื่อกิจกรรมมากที่สุด นิสิตระดับบัณฑิตศึกษา และบุคคลภายนอกรับรู้ผ่านสื่อออนไลน์มากที่สุด ส่วนอาจารย์นักวิจัย และบุคลากรของมหาวิทยาลัย รับรู้ข่าวสารผ่านสื่อบุคคลมากที่สุด ส่วนความพึงพอใจที่มีต่อการประชาสัมพันธ์ของสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา พบว่าผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยสื่อประชาสัมพันธ์ที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจมากที่สุดคือ สื่อออนไลน์ รองลงมาคือ สื่อบุคคล สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อกิจกรรม และสื่อโสตทัศน์ ตามลำดับ นิสิตระดับปริญญาตรี มีความพึงพอใจสื่อออนไลน์มากที่สุด อยู่ในระดับมาก นิสิตระดับบัณฑิตศึกษามีความพึงพอใจสื่อออนไลน์มากที่สุด อยู่ในระดับมาก อาจารย์และนักวิจัยมีความพึงพอใจสื่อออนไลน์มากที่สุด อยู่ในระดับมาก บุคลากรมหาวิทยาลัยมีความพึงพอใจสื่อบุคคลมากที่สุด อยู่ในระดับมาก และ บุคคลภายนอกมีความพึงพอใจสื่อบุคคลมากที่สุด อยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p><strong> </strong></p>
นิสาชล กาญจนพิชิต, สุภาวดี เพชรชื่นสกุล
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1997
Fri, 06 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนาระบบวารสารออนไลน์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2054
<p>การจัดทำวารสารวิชาการไม่ได้เพียงแต่ผลิตและเผยแพร่งานวิจัยเท่านั้น ต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพของบทความ ความทันสมัยของเนื้อหาที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ และการปฏิบัติตามมาตรฐานของแต่ละวารสาร มีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ นอกจากนี้ การพัฒนาระบบวารสารออนไลน์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (OJS of KMUTNB) เป็นการปรับปรุงระบบ OJS of KMUTNB ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยใช้ Open Journal System (OJS) เป็นระบบในการจัดการและตีพิมพ์วารสารในระบบออนไลน์ ประกอบด้วย 1) ระบบการจัดการเนื้อหาวารสาร 2) ระบบสมาชิกของวารสาร 3) ระบบการส่งบทความออนไลน์ 4) ระบบการประเมินบทความ และ 5) การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์บทความ โดยมีความจำเป็นต้องพัฒนาและปรับปรุงระบบเนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้น พบว่า การลงทะเบียนสมาชิกจากบุคคลที่ไม่พึงประสงค์ทำให้มีพื้นที่รองรับข้อมูลลดลง และปัญหาอีเมลที่ส่งออกจากระบบของผู้ที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งเป็นการก่อกวนระบบ ทำให้ต้องปิดการใช้งานส่วนของสมัครสมาชิกและการส่งอีเมลออกจากระบบ นั้นเป็นการเพิ่มขั้นตอนการปฏิบัติงานของผู้ดูแลระบบ ในงานวิจัยนี้ได้มีการนำข้อมูลจากระบบเดิมมาพัฒนา ปรับปรุงและทดสอบฟังก์ชันที่ได้รับการอัพเดต โดยบุคลากรที่ทำหน้าฝ่ายประสานงานและจัดการงานวารสารวิชาการ สังกัดภายใน มจพ. ทั้งหมด4 วารสาร คือ วารสาร Applied Science and Engineering Progress วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วารสารวิชาการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และวารสารพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรม สรุปผลการประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 คน ได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.60 ผลการประเมินคุณภาพระบบมีประสิทธิภาพในระดับดีมาก และผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ดูแลระบบ OJS of KMUTNB ในภาพรวมทั้ง 5 ด้าน 1) ตรงตามความต้องการ 2) ทำงานได้ตามหน้าที่ 3) ความง่ายในการใช้งาน 4) ประสิทธิภาพ และ 5) ความรักษาความปลอดภัยของข้อมูล) ได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.52 ผลการประเมินความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และผลการประเมินความพึงพอใจจากผู้ส่งบทความและผู้ประเมินบทความ ได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.33 พบว่า ทั้งหมดมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันกับระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้งานได้จริง นำไปใช้ในการจัดการงานวารสารวิชาการได้</p>
ธีติมา ไชยกิจ, จีระพล คุ่มเคี่ยม, มนตรี ศิริปรัชญานันท์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2054
Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การวิเคราะห์ผลการประเมินตนเองด้านความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยาคลินิก คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2022
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและวิเคราะห์ผลการประเมินตนเองด้านความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยาคลินิก คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยรายการสำรวจสภาพความปลอดภัยตามระบบมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการวิจัยในประเทศไทย (ESPReL Checklist) และรายการสำรวจสภาพความปลอดภัยทางชีวภาพของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (BSL Checklist) ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลค่าคะแนนของแต่ละองค์ประกอบด้านความปลอดภัยของปี พ.ศ. 2565 และปี พ.ศ. 2566 เทียบกับปี พ.ศ. 2564 พบว่า (1) องค์ประกอบด้านความปลอดภัยจากรายการสำรวจด้วย ESPReL Checklist ในปี พ.ศ. 2565 พบ 5 องค์ประกอบหลักจาก 7 องค์ประกอบหลักมีค่าคะแนนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และพบ 1 องค์ประกอบย่อยที่มีค่าคะแนนน้อยกว่าร้อยละ 80.0 คือ องค์ประกอบที่ 3.4 การบำบัดและกำจัดของเสีย (2) องค์ประกอบด้านความปลอดภัยจากรายการสำรวจ ESPReL Checklist ในปี พ.ศ. 2566 พบ 1 องค์ประกอบหลักที่มีค่าคะแนนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ คือ องค์ประกอบที่ 1 การบริหารระบบการจัดการด้านความปลอดภัย และพบ 3 องค์ประกอบย่อยที่มีค่าคะแนนลดลงมากกว่าร้อยละ 3.0 ได้แก่ องค์ประกอบที่ 2.1 การจัดการข้อมูลสารเคมี องค์ประกอบที่ 5.1 การบริหารความเสี่ยง และองค์ประกอบที่ 5.2 การเตรียมความพร้อม/ตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ดังนั้น ห้องปฏิบัติการควรดำเนินการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย โดยเฉพาะองค์ประกอบที่มีค่าคะแนนลดลงอย่างมีนัยสำคัญอย่างเร่งด่วน (3) องค์ประกอบด้านความปลอดภัยจาก BSL Checklist ในปี พ.ศ. 2564–พ.ศ. 2566 พบว่า ห้องปฏิบัติการมีการธำรงรักษาสภาพองค์ประกอบด้านความปลอดภัยทางชีวภาพทั้ง 2 องค์ประกอบ</p>
นันทนัช เมืองโคตร, อรอนงค์ คล้ายชนที
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2022
Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การจัดระบบข้อมูลการฝึกอบรมสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ มหาวิทยาลัยทักษิณ
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1482
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลการฝึกอบรมสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ และเพื่อศึกษาประสิทธิภาพการใช้งานระบบข้อมูลการฝึกอบรม รวมถึงเพื่อประเมินความพึงพอใจในการใช้งานระบบข้อมูลการฝึกอบรมสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ มหาวิทยาลัยทักษิณ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้บริหารและผู้ดำเนินโครงการ ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อออนไลน์ และผู้เข้ารับการฝึกอบรมสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ จำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ แบบประเมินประสิทธิภาพการใช้งานระบบ และแบบประเมินความพึงพอใจในการใช้งานระบบข้อมูลการฝึกอบรมสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ ผลการศึกษา พบว่า ข้อมูลที่ต้องการเพิ่มเติม มี 3 ประเด็น ได้แก่ ผลงานด้านการวิจัยที่ผ่านมา ประเด็นที่สนใจในการศึกษาวิจัย เครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัยที่สนใจ ผลการประเมินประสิทธิภาพการใช้งานระบบข้อมูลการฝึกอบรมสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบสื่อออนไลน์ ภาพรวมอยู่ในระดับดี ค่าเฉลี่ย 3.93 และระดับความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบข้อมูลการฝึกอบรมสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ ภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก ค่าเฉลี่ย 4.59 ระบบข้อมูลการฝึกอบรมที่พัฒนาขึ้น สามารถจัดเก็บข้อมูลของหน่วยผู้จัดโครงการได้ครบถ้วนมากขึ้น ประหยัดเวลา ประหยัดทรัพยากร ในการส่งเอกสารและสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในระบบฐานข้อมูลงานวิจัยของหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น</p>
ธรรญชนก ขนอม, อนุกูล ศรีวรรณ
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1482
Thu, 05 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การศึกษาประสิทธิผลของระบบการแจ้งซ่อมออนไลน์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2010
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบการแจ้งซ่อมออนไลน์ และเพื่อประเมินความพึงพอใจการใช้งานระบบการแจ้งซ่อมออนไลน์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา โดยเก็บข้อมูลจาก บุคลากรคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 70 คน ผลการวิจัยพบว่า ในเชิงปริมาณ ระบบการแจ้งซ่อมออนไลน์สามารถลดเวลาในการแจ้งซ่อมและกระบวนการซ่อม ร้อยละ 35 ลดปริมาณกระดาษลง ร้อยละ 100 ลดจำนวนเงิน ร้อยละ 100 ในเชิงคุณภาพ ระบบสามารถสำรองข้อมูลเอกสารในรูปแบบออนไลน์ได้เป็นอย่างดีไม่ทำให้ข้อมูลการแจ้งซ่อมเกิดการสูญหายเหมือนการใช้ใบแจ้งซ่อมที่เป็นกระดาษในระบบเดิม ระดับความพึงพอใจด้านประสิทธิภาพของระบบแจ้งซ่อมออนไลน์ ก่อนการใช้ระบบการแจ้งซ่อมออนไลน์ ในภาพรวมด้านประสิทธิภาพอยู่ในระดับดี โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.15 หลังการปรับปรุง ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.45 โดยมีระดับ ความพึงพอใจที่เพิ่มมากขึ้น ระดับความพึงพอใจด้านประโยชน์ของระบบแจ้งซ่อมออนไลน์ พบว่า ก่อนการปรับปรุง ในภาพรวมด้านประโยชน์อยู่ในระดับดี โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.16 หลังการปรับปรุง ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.64 โดยมีระดับความพึงพอใจที่เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามควรสนับสนุนให้มีการดำเนินการแจ้งซ่อมแบบออนไลน์อย่างสมบูรณ์แบบ และควรมีการศึกษาประสิทธิภาพการใช้งานของระบบการแจ้งซ่อมออนไลน์ในระยะยาว เพื่อปรับปรุงการใช้งานของระบบต่อไป</p>
วสุ สุริยะ , ปภาอร เขียวสีมา, พรพัฒน์ ธีรโสภณ
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2010
Wed, 11 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การศึกษาความผูกพันและความสุขของบุคลากรและนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2055
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความผูกพัน และความสุขของบุคลากรและนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีกลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากร จำนวน 327 คน และนักศึกษา จำนวน 1,990 คน จากวิธีการสุ่ม และคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตรของยามาเน่ ใช้แบบสำรวจ HAPPINOMETER จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นเครื่องมือเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาบรรยายลักษณะตัวแปรต่าง ๆ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <p>1) บุคลากร : ระดับความสุข อยู่ในระดับมาก mean = 3.63, S.D.= 0.907) และความผูกพันต่อองค์กร อยู่ในระดับมาก ( mean = 3.72, S.D.= 0.933) ซึ่งบุคลากรมีความสุขในด้านใฝ่รู้ดี เป็นอันดับ 1 ( mean = 4.01, S.D. = 0.831)อยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ ด้านจิตวิญญาณดี (mean = 3.89, S.D. = 0.814) อยู่ในระดับมาก และด้านน้ำใจดี (mean = 3.80, S.D. = 0.796) อยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีคะแนนความสุขน้อยที่สุด คือ ด้านผ่อนคลายดี ( mean = 3.24, S.D. = 0.874) อยู่ในระดับปานกลาง</p> <p>2) นักศึกษา : ระดับความสุข อยู่ในระดับมาก ( mean = 3.52, S.D.= 0.965) และความผูกพันต่อมหาวิทยาลัย อยู่ในระดับมาก (mean = 3.65, S.D.= 0.888) ซึ่งนักศึกษามีความสุขในด้านผ่อนคลายดี เป็นอันดับ 1 ( mean = 3.84,S.D. = 1.067) อยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ ด้านจิตวิญญาณดี ( mean = 3.73, S.D. = 0.860) อยู่ในระดับมาก และด้านใฝ่รู้ดี ( mean = 3.73, S.D. = 0.877) อยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีคะแนนความสุขน้อยที่สุด คือ ด้านสุขภาพเงินดี( mean = 2.55, S.D. = 1.020) อยู่ในระดับปานกลาง</p>
ณัฐพล อาบสีนาค , น้ำฝน แสงอรุณ
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2055
Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการตรวจสอบภายใน สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1670
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการตรวจสอบภายใน สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2) ประเมินผลระบบสารสนเทศสำหรับการตรวจสอบภายใน สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยผู้วิจัยได้ศึกษาปัญหาและอุปสรรคของกระบวนการตรวจสอบภายในของสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากนั้น ดำเนินการออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการตรวจสอบภายในที่ได้นำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการข้อมูลของระบบ รวมถึงบูรณาการข้อมูลดิจิทัลกับระบบสารสนเทศอื่นของสถาบันฯ ทำให้ได้ระบบสารสนเทศสำหรับการตรวจสอบภายใน สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประกอบด้วย 8 ประเด็นการตรวจสอบ ได้แก่ 1) การติดตามผลการตรวจสอบครั้งก่อน 2) การดำเนินงานด้านการรับ-นำส่งเงิน 3) การดำเนินงานด้านงานวิจัย 4) การดำเนินงานโครงการบริการวิชาการ 5) การดำเนินงานด้านการให้เช่าสถานที่/ค่าสาธารณูปโภค 6) รายงานกองทุนเงินส่งเสริมและพัฒนางานวิจัยประจำปี 7) ผลการดำเนินงานตามคำรับรองกับมหาวิทยาลัย 8) การควบคุมภายในด้านการจ่ายเช็ค ผลที่ได้จากการประเมินคุณภาพของการจัดการข้อมูลสำหรับการตรวจสอบภายในโดยใช้ระบบงานเดิมและระบบงานที่พัฒนา พบว่า ระบบสารสนเทศสำหรับการตรวจสอบภายใน สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ช่วยลดระยะเวลาจัดเตรียมเอกสารก่อนการตรวจสอบภายใน ลดจำนวนเอกสารที่ใช้ในการตรวจสอบภายใน มีกระบวนการกำกับติดตามและควบคุมความเสี่ยง และสามารถตรวจสอบภายในผ่านช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ใช้งานระบบสารสนเทศสำหรับการตรวจสอบภายใน มีความพึงพอใจต่อระบบโดยรวมระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.66 และค่าเฉลี่ยของความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านความง่ายต่อการใช้งาน และด้านการใช้งานระบบโดยรวม รองลงมา คือ ด้านตรงตามความต้องการ ด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และด้านประสิทธิภาพ</p>
กุลางกูร พัฒนเมธาดา, พรรณี ศรีเรือน
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1670
Thu, 05 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการจัดสรรเงินค่าธรรมเนียมการศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2047
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศการจัดสรรเงินค่าธรรมเนียมการศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรเงินค่าธรรมเนียมการศึกษาด้วยหลักการ LEAN ที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและลดความสูญเปล่า โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการจัดสรรเงินค่าธรรมเนียมการศึกษาและข้อมูลค่าธรรมเนียมการศึกษาจากฐานข้อมูลของสำนักบริหารและพัฒนาวิชาการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับการบันทึกระยะเวลา/ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยแผนผังตารางเวลาและวิเคราะห์คุณค่ากิจกรรม ในส่วนการพัฒนาระบบสารสนเทศใช้เครื่องมือดังนี้ PHP, Laravel Framework: ชุดเครื่องมือสำหรับพัฒนาโปรแกรมบนเว็บ MySQL: ระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์สำหรับจัดเก็บข้อมูลการจัดสรรค่าธรรมเนียมการศึกษา และบริหารจัดการโครงการระบบสารสนเทศด้วย Microsoft Teams และ Microsoft Planner ผู้ใช้งานระบบประกอบด้วยผู้บริหารคณะ หัวหน้าสาขาวิชา ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องของกองบริหารงานคณะและสาขาวิชา ผลจากการวิจัย คือ ได้โปรแกรมในการจัดสรรเงินค่าธรรมเนียมการศึกษาที่คำนวณรายรับค่าธรรมเนียมการศึกษาอัตโนมัติตามรูปแบบที่ได้กำหนดค่าไว้ตามหลักเกณฑ์การจัดสรรเงิน ด้วยระบบออนไลน์บนเว็บไซต์ โดยผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงและจัดการข้อมูลด้วยการลงบันทึกเข้าใช้งาน ซึ่งโปรแกรมสามารถรายงานผลรายรับค่าธรรมเนียมการศึกษาแยกตามหลักสูตรและสาขาวิชา รวมทั้งลดกิจกรรมในกระบวนการจัดสรรเงินค่าธรรมเนียมการศึกษา จาก 9 กิจกรรมเหลือ 6 กิจกรรม ลดระยะเวลาในการปฏิบัติงานจาก 11,565 นาที เหลือ 40 นาที และลดต้นทุนกิจกรรมได้ถึง 3,020 บาทต่อภาคการศึกษา</p>
สุคนธ์ บุญจันทร์, ฉัตรปรินท์ ปานสุขรดา
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2047
Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
ความสัมพันธ์ของปัจจัยการรับรู้ที่ส่งผลต่อกระบวนการดำเนินงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษา เพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศของวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2012
<p>การรับรู้ปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการดำเนินงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศและเป็นแรงขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุผลสำเร็จ ดังนั้นการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการรับรู้ของปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานและกระบวนการดำเนินงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ และ 2) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานกับกระบวนการดำเนินงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากบุคลากรสายผู้บริหาร บุคลากรสายวิชาการ และบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ จำนวน 85 ตัวอย่าง ซึ่งข้อมูลการรับรู้และการดำเนินงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศถูกวิเคราะห์โดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากนั้นทำการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้และกระบวนการดำเนินงานเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศด้วยสถิติสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และความสัมพันธ์หลายตัวตัวแปรแบบถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ระดับการรับรู้ด้านทรัพยากรและสิ่งสนับสนุนมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านผู้บริหารและนโยบาย และด้านการบริหารจัดการ ตามลำดับ การรับรู้กระบวนการดำเนินงานกระบวนการดำเนินงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศด้วยระบบ PDCA ทั้ง 4 ด้าน มีระดับการรับรู้อยู่ในระดับมาก โดยด้านการวางแผนการปฏิบัติงาน (Plan) มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการนำผลประเมินมาปรับปรุง (Action) และด้านการตรวจสอบประเมินผล (Check) ตามลำดับ สำหรับการวิเคราะห์ทำนายปัจจัยการรับรู้ที่ส่งผลต่อกระบวนการดำเนินงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ พบว่า สามารถร่วมกันอธิบายความสัมพันธ์ได้ร้อยละ 69 สมการพยากรณ์ความสัมพันธ์ คือ โดยมี มีตัวแปร 2 ตัวแปรที่สามารถร่วมทำนายได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 คือ ด้านผู้บริหารและนโยบาย และด้านวัฒนธรรมองค์กร ดังนั้นผลจากการศึกษาเป็นข้อมูลเสนอผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการทบทวน และปรับปรุงการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาที่เป็นเลิศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น</p>
ธัญฉัตร ศรีธัญรัตน์, วัชรพงษ์ แสงนิล
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2012
Thu, 12 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การวิเคราะห์เปรียบเทียบซอฟต์แวร์ในการติดตามประสิทธิภาพและความพร้อมใช้งานของเครือข่าย ในโรงพยาบาลศิริราช
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2045
<p>การศึกษาเรื่องการเปรียบเทียบซอฟต์แวร์สำหรับการเฝ้าระวังประสิทธิภาพและความพร้อมใช้ของโรงพยาบาลศิริราชมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบซอฟต์แวร์ของ Solarwinds กับระบบอื่น เนื่องจากโรงพยาบาลศิริราชรองรับผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความเสถียรของระบบเครือข่ายและการจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศนั้นมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นจึงจำเป็นต้องมีการ Monitor ความพร้อมใช้งาน (Availability) ของอุปกรณ์สารสนเทศของโรงพยาบาลเพื่อให้ระบบสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง โดยทำการศึกษาและเปรียบเทียบซอฟต์แวร์ของ Solarwinds กับระบบอื่น ประกอบด้วย PRTG และ WhatsUp Gold ผลการศึกษา พบว่า ซอฟต์แวร์ของ Solarwinds มีข้อดี คือ มีประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังระบบเครือข่ายและการแสดงผลข้อมูลได้ดีกว่าซอฟต์แวร์ของ PRTG และ Whatsup Gold ส่วนข้อเสีย คือ มีไฟล์ในการติดตั้งใหญ่และมีค่าใช้จ่ายสูง โดยจะต้องมีการการติดตั้งโมดูลเพิ่มเติมเพื่อที่จะสามารถใช้งานในฟังก์ชันอื่นเพิ่มเติมอีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในส่วนของการ Maintenance ที่ค่อนข้างสูง สำหรับความสามารถในการแจ้งเตือนเมื่อพบปัญหานั้น ซอฟต์แวร์ของ Solarwinds, PRTG และ Whatsup Gold มีความสามารถใกล้เคียงกันรวมถึงด้านระบบ รูปแบบการแสดงผลและการออกรายงาน ดังนั้นในการใช้งานจริงจึงควรเลือกใช้ซอฟต์แวร์ของ Solarwinds เพื่อความคุ้มค่าและประสิทธิภาพในการทำงานที่มีคุณภาพ เหมาะกับผู้ใช้งานในทุกระดับ</p>
คงอนันต์ แย้มพินิจ , อรรคเดช อันผาสุข
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2045
Wed, 18 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การใช้แอ็กทีฟ ไดเรกทอรีในการยืนยันตัวตนและกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งานสำหรับระบบสารสนเทศโรงพยาบาล
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2024
<p>ในยุคแห่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการบริหารงานต่าง ๆ ขององค์กรในปัจจุบันล้วนขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ การบริหารงานโรงพยาบาลก็เช่นเดียวกัน ซึ่งระบบสารสนเทศโรงพยาบาลนั้นเป็นระบบที่มีขนาดใหญ่ ประกอบด้วยระบบสารสนเทศย่อย ๆ หลายระบบ ทำงานสอดประสาน สนับสนุน เชื่อมต่อข้อมูลเข้าด้วยกัน ตลอดจนมีผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ทั้งภายในหน่วยงานและต่างหน่วยงาน ดังนั้นการเข้าใช้งานระบบสารสนเทศในโรงพยาบาลต้องมีการตรวจสอบยืนยันตัวตนและจัดการสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่มีความสำคัญเพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน</p> <p>ระบบ Active Directory เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจัดการและควบคุมการเข้าถึงข้อมูลในระบบสารสนเทศโรงพยาบาล โดยมีบทบาทสำคัญในการจัดการการยืนยันตัวตนและการกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งาน เช่น การกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงเอกสารทางการแพทย์ การตรวจสอบสิทธิ์ในการเข้าถึงแฟ้มข้อมูลของผู้ป่วยและการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงระบบโดยรวม ด้วยความสามารถในการจัดการและควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ Active Directory จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เหมาะสมและช่วยให้ระบบสารสนเทศโรงพยาบาลมีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ในการใช้งาน</p>
วิภาวี รื่นจิตต์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2024
Sat, 14 Jun 2025 00:00:00 +0700
-
การวิเคราะห์ความจำเป็นของระบบบริหารจัดการเครื่องคอมพิวเตอร์ในการแก้ไขปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ภายใต้สถานการณ์โรคระบาด
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2025
<p>ระบบการบริหารจัดการเครื่องคอมพิวเตอร์กับการแก้ไขเครื่องคอมพิวเตอร์ในสถานการณ์โรคระบาดมีความสำคัญใน การพัฒนาความก้าวหน้าขององค์กรเนื่องจากคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือหลักในการปฏิบัติงานดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องได้รับ การแก้ไขเมื่อเกิดความเสียหายหรือความบกพร่องตามอายุการใช้งานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ประกอบกับในยุคการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์โดยผ่านการสัมผัสโดยตรงกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์มีความเสี่ยง ซึ่งองค์กรจึงจำเป็นต้องพัฒนาระบบการปฏิบัติงานเพื่อมาช่วยในการบริหารจัดการกับความเสี่ยงนี้ บทความวิชาการนี้จึงมุ่งให้ความสำคัญกับระบบการบริหารจัดการเครื่องคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่โดยการวิเคราะห์การแก้ไขปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยระบบการบริหารจัดการเครื่องคอมพิวเตอร์รูปแบบเดิม และสังเคราะห์การแก้ไขเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยระบบบริหารจัดการเครื่องคอมพิวเตอร์แบบใหม่ ซึ่งผลลัพธ์ในเชิงบวกที่ตามหลังจากใช้ระบบการบริหารจัดการเครื่องคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ คือ 1) สามารถควบคุมและแก้ปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ได้จากระยะไกล 2) สามารถตรวจสอบระยะเวลาการแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ได้ 3) สามารถติดตามและค้นประวัติการแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ในองค์กรได้อย่างรวดเร็ว 4) สามารถจัดทำรายงานประวัติการแก้ไขปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ 5) สามารถประหยัดงบประมาณในการประสานงานแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์จนเกิดประสิทธิภาพด้าน ความปลอดภัยและประสิทธิผลของการดำเนินงานในองค์กรสู่การลดใช้จ่ายด้านการจัดการคอมพิวเตอร์อย่างยั่งยืน</p>
สคมวิชช์ สุขภัทริทธิกุล , กฤษณะ ปิ่นสวาสดิ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท.
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/2025
Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700