วารสารวิชาการ ปขมท. https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal <p>วารสารวิชาการ ปขมท. (CUAST Journal) จัดทำขึ้นโดยที่ประชุมสภาข้าราชการ พนักงานและลูกจ้าง มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปขมท.) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและบทความวิจัยของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการในสถาบันอุดมศึกษา และเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ อันเป็นแนวทางนำไปสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกันและบังเกิดประสิทธิภาพในการทำงาน</p> <p>ผลงานที่ส่งมาตีพิมพ์ จะต้องเป็นผลงานทางวิชาการและบทความวิจัยของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการในสถาบันอุดมศึกษาเท่านั้น เป็นผลงานที่แก้ไข ปรับปรุง หรือพัฒนางานประจำให้ดีขึ้น สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง หรือเป็นงานวิจัยสถาบัน เป็นการดำเนินงานวิจัยเชิงประเมินเกี่ยวกับองค์กร หรือเป็นผลวิจัยและค้นคว้าหรือสำรวจ หรือบทความแสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ ที่ยังไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารอื่นใดมาก่อน และไม่ได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาลงวารสารใดๆ </p> <p><strong>ขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์</strong><br /> รับตีพิมพ์บทความ จำนวน 3 สาขา ได้แก่ 1) สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2) สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และ 3) สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยบทความวิจัยและบทความวิชาการที่จะนำมาตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ปขมท. นี้ จะต้องได้รับการตรวจสอบทางวิชาการ (Peer review) ก่อน จากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้นๆ โดยผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อยบทความละ 3 ท่าน และผ่านความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการวารสาร โดยผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความไม่ทราบชื่อผู้เขียนและผู้เขียนไม่ทราบชื่อผู้ประเมินบทความ (Double blind) และผู้ประเมินไม่อยู่ในสังกัดเดียวกับผู้เขียนบทความ (<a href="https://drive.google.com/drive/folders/1dO_ncL-qJkkMCMQfy0OmLOEjrLcQGf36?usp=sharing" target="_blank" rel="noopener">CUAST Journal Template</a>) <img src="https://wjst.wu.ac.th/public/site/images/admin/newdata12.gif" alt="" /></p> <p><strong>ประเภทของบทความ (บทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)</strong><br /> 1. บทความวิจัย <br /> 2. บทความวิชาการ <br /><br /><strong>กำหนดเผยแพร่</strong><br /> ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เมษายน<br /> ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม<br /> ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน-ธันวาคม</p> <p><strong>จำนวนบทความต่อฉบับ</strong><br /> 20-25 บทความ</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong><br /> วารสารวิชาการ ปขมท. (CUAST Journal) ไม่มีค่าธรรมเนียมการส่งบทความ ไม่มีค่าธรรมเนียมในกระบวนการจัดการบทความ ไม่มีค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์เผยแพร่ใดๆ ทั้งสิ้น</p> <p><strong>หัวหน้าบรรณาธิการ</strong><br /> <a href="https://biography.oas.psu.ac.th/biography_management/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99/" target="_blank" rel="noopener">ศาสตราจารย์ ดร.ปริศวร์ ยิ้นเสน</a> คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จังหวัดปัตตานี</p> <p><strong>สำนักพิมพ์</strong><br /> ที่ประชุมสภาข้าราชการ พนักงานและลูกจ้าง มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปขมท.)</p> <p><strong>หมายเหตุ</strong> วารสารวิชาการ ปขมท. (CUAST Journal) กำหนดค่าการตรวจความซ้ำซ้อนด้วยโปรแกรม CopyCatch ผ่านเว็บไซต์ Thaijo สำหรับบทความวิจัยและบทความวิชาการ โดยมีผลตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป</p> Council of University Administrative Staff of Thailand th-TH วารสารวิชาการ ปขมท. 1686-7777 การวิเคราะห์จำนวนโครงการวิจัยด้านการพัฒนาเส้นทางอาชีพนักวิจัยและนวัตกรรม และการวิจัยเพื่อฐานทางวิชาการ ประจำปีงบประมาณ 2564-2566 ของมหาวิทยาลัยมหิดล https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1409 <p>การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์จำนวนโครงการวิจัยด้านการพัฒนาเส้นทางอาชีพนักวิจัยและนวัตกรรม และการวิจัยเพื่อฐานทางวิชาการที่มหาวิทยาลัยมหิดลยื่นเสนอขอรับทุนและได้รับอนุมัติจัดสรรทุนจาก วช. ในปีงบประมาณ 2566 - 2564 และวิเคราะห์อัตราการได้รับทุนของมหาวิทยาลัย โดยเปรียบเทียบจากจำนวนโครงการวิจัยที่มหาวิทยาลัยได้รับอนุมัติจัดสรรทุน จาก วช. กับจำนวนข้อเสนอโครงการวิจัยที่มหาวิทยาลัยเสนอขอรับทุน สืบค้นและเก็บรวบรวมข้อมูลย้อนหลังจากระบบข้อมูลสารสนเทศการวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เอกสารและฐานข้อมูลโครงการวิจัยด้านการพัฒนาเส้นทางอาชีพนักวิจัยและนวัตกรรมและการวิจัยเพื่อฐานทางวิชาการของงานบริหารเงินทุนวิจัย กองบริหารงานวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล ใช้ค่าทางสถิติวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ จากผลการวิจัยพบว่า มหาวิทยาลัยยื่นข้อเสนอโครงการทุนพัฒนานักวิจัยรุ่นกลางมากที่สุด จำนวน 210 โครงการ รองลงมาเป็นทุนพัฒนาศักยภาพในการทำงานวิจัยของอาจารย์รุ่นใหม่ จำนวน 60 โครงการ มหาวิทยาลัยได้รับอนุมัติจัดสรรทุนพัฒนานักวิจัยรุ่นกลางมากที่สุด จำนวน 60 โครงการ รองลงมาทุนพัฒนาศักยภาพในการทำงานวิจัยของอาจารย์รุ่นใหม่ จำนวน 27 โครงการ อัตราการได้รับทุนของมหาวิทยาลัย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มอัตราการได้รับทุนฯ ระดับต่ำ ได้แก่ ทุนศาสตราจารย์วิจัยดีเด่น และทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัย (เมธีวิจัยอาวุโส) 2) กลุ่มอัตราการได้รับทุนฯ ระดับปานกลาง ได้แก่ ทุนพัฒนานักวิจัยรุ่นกลาง 3) กลุ่มอัตราการได้รับทุนฯ ระดับค่อนข้างสูง ได้แก่ ทุนพัฒนาศักยภาพในการทำงานวิจัยขอรับทุนอาจารย์รุ่นใหม่ ทุนส่งเสริมนักวิจัยรุ่นใหม่ (หรือ ทุนพัฒนาเส้นทางอาชีพนักวิจัยรุ่นใหม่) และทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง</p> วรพรรณ ชินฉลองพร Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-07 2025-02-07 14 1 e1408 e1408 ความต้องการจำเป็นเกี่ยวกับรูปแบบการฝึกอบรมให้กับบุคลากรสายวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1364 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นเกี่ยวกับรูปแบบการฝึกอบรม ให้กับบุคลากรสายวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยในการตอบแบบสอบถาม คือ บุคลากรสายวิชาการ (อาจารย์) ของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำนวน 246 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ออนไลน์แบบมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนตามระดับความคาดหวัง 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยสถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ดัชนีการจัดเรียงลำดับความต้องการจำเป็น (PNI <sub>modified</sub>) และการสังเคราะข้อมูลจากแบบสอบถาม ผลการวิจัยที่ได้จากแบบสอบถามทั้ง&nbsp; 4 รูปแบบ พบว่า ค่า PNI <sub>modified</sub> อยู่ระหว่าง 0.057-0.098 โดยรูปแบบที่มีระดับความต้องการจำเป็นในการเข้ารับการฝึกอบรมที่มีคะแนนสูงคือ รูปแบบการฝึกอบรมแบบออนไซต์ มีค่าเท่ากับ 0.098 เมื่อวิเคราะห์รายข้อพบว่าระดับความต้องการจำเป็นที่มีคะแนนสูงคือข้อมีความเหมาะสมเรื่องของวัน เวลา และ สถานที่ในการจัดอบรม ได้ค่าเท่ากับ 0.133 รองลงมาคือ รูปแบบการฝึกอบรมแบบออนไลน์ ได้ค่าเท่ากับ 0.097 อันดับที่ 3 คือ รูปแบบการฝึกอบรมแบบผสมผสาน ได้ค่าเท่ากับ 0.077 และอันดับที่ 4 คือ รูปแบบการฝึกอบรมแบบอัดคลิปวีดิโอแขวนไว้บน เว็บไซต์ ได้ค่าเท่ากับ 0.057 ข้อเสนอแนะสำหรับการฝึกอบรมในรูปแบบออนไซต์และรูปแบบผสมผสานจัดในสภาวการณ์ปกติหรือ เป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการ หรือมีข้อขัดข้องของระบบภาพเสียงและสัญญาณอินเทอร์เน็ต และรูปแบบการฝึกอบรมแบบออนไลน์ และการฝึกอบรมแบบอัดคลิปวีดิโอแขวนไว้บนเว็บไซต์ใช้กับสภาวการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ปกติหรือไม่สะดวกเรื่อง วัน เวลา และ สถานที่ การเดินทางในการเข้ารับการฝึกอบรม</p> มัลลิกา เกตุชรารัตน์ Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-22 2025-01-22 14 1 e1364 e1364 ระดับความเห็นของบุคลากรที่มีต่อการให้บริการงานธุรการ ด้านการให้บริการ ด้านผู้ให้บริการ และด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1456 <p>การวิจัยเชิงสำรวจครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับความเห็นของบุคลากร ที่มีต่อการให้บริการงานธุรการด้านการให้บริการ ด้านผู้ให้บริการ และด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ศึกษาในประชากร คือ บุคลากรคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 64 คน ประกอบด้วยบุคลากรสายวิชาการ จำนวน 45 คน และบุคลากรสายสนับสนุน จำนวน 19 คน เก็บข้อมูลโดยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (m) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (s) ผลการวิเคราะห์ระดับความเห็นของบุคลากร ที่มีต่อการให้บริการงานธุรการ ด้านการให้บริการ ด้านผู้ให้บริการ และด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก พบว่า โดยภาพรวม ทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับดี โดยด้านที่ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านผู้ให้บริการ (m = 4.37, s = 0.70) &nbsp;รองลงมา คือ ด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก (m = 4.16, s = 0.83) และด้านการให้บริการ ค่าเฉลี่ย (m = 4.09, s = 0.88)&nbsp; พบว่า จุดเด่นด้านผู้ให้บริการคือ บุคลิกภาพดี การแต่งกายสุภาพ พูดจาสุภาพ และอัธยาศัยดี จุดที่ควรปรับปรุง ด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก คือ การแสดงป้ายแสดงสถานที่และจุดบริการที่ขัดเจนเหมาะสม และด้านการให้บริการ คือ การดำเนินการแจ้งซ่อมสาธารณูปโภคที่สะดวกรวดเร็ว ทันเวลา</p> วรภร ขัติวงศ์ อรวรรณ พงษ์ต๊ะ ศศิวิมล บุตรสีเขียว Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-10 2025-02-10 14 1 e1456 e1456 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาคุณภาพการบริการของสำนักงานคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1386 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการรับรู้ในสภาพที่เป็นจริงและความคาดหวังคุณภาพการให้บริการของสำนักงานคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 2) ประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาคุณภาพ การให้บริการของสำนักงานคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์</p> <p>กลุ่มตัวอย่างเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยที่ยื่นขอรับรองโครงการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ในช่วงเดือนมกราคม พ.ศ.2564 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ.2564 ที่สามารถเข้าถึงได้ (Accessible Population) และสมัครใจตอบ (Volunteer Sampling) จำนวน 98 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มาตราประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น ด้านสภาพที่เป็นจริง 0.968 ด้านความคาดหวัง 0.941 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การคำนวณหาค่าความต้องการจำเป็นด้วยค่า PNI Modified ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">การรับรู้คุณภาพการให้บริการในสภาพปัจจุบันและความคาดหวังคุณภาพการให้บริการตรงกันทุกด้านโดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากสูงไปต่ำ ดังนี้ 1) ด้านการให้ความมั่นใจ 2) ด้านการดูแลเอาใจใส่ 3) ด้านสิ่งที่สัมผัสได้ 4) ด้านความน่าเชื่อถือ 5) ด้านการตอบสนอง</li> <li class="show">ความต้องการจำเป็น เรียงลำดับค่า PNI จากสูงไปต่ำ ดังนี้ 1) ด้านการตอบสนอง ต้องการช่องทางในการร้องเรียนหรือให้คำแนะนำการบริการระหว่างผู้รับบริการและสำนักงาน 2) ด้านความน่าเชื่อถือ ต้องการให้เจ้าหน้าที่ให้บริการเป็นไปด้วยความรวดเร็วตามเวลาที่ได้กำหนดไว้ 3) ด้านสิ่งที่สัมผัสได้ ต้องการให้สำนักงานมีเว็บไซต์และเผยแพร่ข้อมูลที่เข้าถึงง่าย 4) ด้านการดูแลเอาใจใส่ต้องการให้เจ้าหน้าที่สำนักงานเอาใจใส่ และแก้ไขปัญหาข้อสงสัยให้ผู้รับบริการเป็นอย่างดี 5) ด้านการให้ความมั่นใจ ต้องการให้เจ้าหน้าที่สำนักงานทำงานด้วยความถูกต้องรอบคอบและไม่เกิดข้อผิดพลาด</li> </ol> สุดารัตน์ ช้างโรง Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-01 2025-02-01 14 1 e1386 e1386 การรับรู้ทิศทางองค์กรของบุคลากร สำนักบริหารและพัฒนาวิชาการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1351 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้ทิศทางองค์กร และระดับการรับรู้ทิศทางองค์กรของบุคลากร สำนักบริหารและพัฒนาวิชาการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ ประชากรทั้งหมดของสำนักบริหารและพัฒนาวิชาการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งประกอบด้วย ผู้บริหาร จำนวน 4 คน พนักงานมหาวิทยาลัย จำนวน 43 คน ลูกจ้างประจำ จำนวน 1 คน และลูกจ้างมหาวิทยาลัย จำนวน 10 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 58 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย () และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ได้ใช้แบบสำรวจจำนวน 58 ชุด ซึ่งตอบรับกลับคืนมาจำนวน 52 ชุด คิดเป็นร้อยละ 89.66 ผลการศึกษาพบว่า การรับรู้ทิศทางองค์กรของบุคลากร สำนักบริหารและพัฒนาวิชาการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น บุคลากรรับรู้ทิศทางขององค์กรด้านวิสัยทัศน์ถูกต้อง มากที่สุดคือ วิสัยทัศน์ของหน่วยงาน องค์กรชั้นนำด้านการบริการและสนับสนุนการจัดการศึกษา และระดับการรับรู้ทิศทางองค์กรของบุคลากร ด้านที่บุคลากรมีระดับการรับรู้มากที่สุดคือ ด้านการรับรู้ผลการดำเนินการที่คาดหวัง มีระดับการรับรู้อยู่ในระดับรับรู้มาก (x=3.65, S.D=0.63) รองลงมา คือ ด้านการรับรู้วิสัยทัศน์ มีระดับการรับรู้อยู่ในระดับรับรู้มาก (x=3.61, S.D=0.73) และด้านที่บุคลากรมีระดับการรับรู้น้อยที่สุด คือ ด้านการรับรู้ค่านิยม ระดับการรับรู้อยู่ในระดับรับรู้ปานกลาง (x=3.34, S.D=0.85)</p> สุวารี เขียวคำ นันธิดา น้อยสุข Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-19 2025-01-19 14 1 e1351 e1351 การวิเคราะห์เปรียบเทียบปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความผูกพันขององค์กรของบุคลากรในคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1421 <p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรในคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ใช้วิธีการเปิดตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan ณ ระดับความเชื่อมั่น 95% จากนั้นกำหนดสัดส่วนกลุ่มตัวอย่างแบบกำหนดโควตา ตามจำนวนบุคลากรของแต่ละสายงาน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่แบบสอบถาม&nbsp;ที่มีการพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือแล้ว ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้อง 1.00 ความเที่ยงและความเชื่อมั่น 0.98 มีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนทั้งสิ้น 52 คน คิดเป็น ร้อยละ 89.67 ของประชากรทั้งหมด สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, T-test, ANOVA, Pearson’s correlation, multivariable linear regression ผลการวิจัย พบว่า ผลการเปรียบเทียบปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรในคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา คือ ปัจจัยด้านวัฒนธรรมหรือจุดมุ่งหมายขององค์กร ปัจจัยด้านภาวะผู้นำขอผู้บังคับบัญชา และปัจจัยด้านเพื่อนร่วมงาน มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับระดับความผูกพันต่อองค์กร สูงสามลำดับแรก โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) เท่ากับ 0.796, 0.711 และ 0.618 ตามลำดับ (P-value = 0.01)ในขณะที่ปัจจัยด้านลักษณะงานมีตัวแปรสำคัญที่สัมพันธ์กับการลดความผูกพันต่อองค์กร (r=0.520, P-value = 0.01) ข้อเสนอแนะจากการวิจัย คือ ปัจจัยด้านวัฒนธรรมหรือจุดมุ่งหมายขององค์กรมีความสัมพันธ์เชิงบวกสูงสุดกับระดับความผูกพันต่อองค์กร ในขณะที่ปัจจัยด้านลักษณะงานมีตัวแปรสำคัญที่สัมพันธ์กับการลดความผูกพันต่อองค์กร จึงเป็นปัจจัยที่ควรติดตามและจัดการภายในองค์กร รวมทั้งควรมีการศึกษาเชิงคุณภาพเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจและเพิ่มความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรต่อไป</p> ธัญญ์ชนาธร ธัญญ์ชัญญาธารก์ Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-02 2025-02-02 14 1 e1421 e1421 การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิจัยและห้องปฏิบัติการ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1376 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์สภาพปัจจุบันเพื่อนำไปสร้างระบบสารสนเทศที่ใช้ในการให้บริการของงานวิจัยและห้องปฏิบัติการ และประเมินความเหมาะสมของระบบสารสนเทศที่ใช้ร่วมกับการประเมินความพึงพอใจของบุคลากรและนิสิต คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ผลการวิจัยพบว่าสภาพปัจจุบัน หน่วยงานยังจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของแฟ้มเอกสาร ทำให้การจัดเก็บข้อมูล การสืบค้นข้อมูล และการนำข้อมูลมารายงานผลของเจ้าหน้าที่ ทำได้ล่าช้ากว่าความต้องการของผู้ใช้ข้อมูล มีการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง และเกิดความผิดพลาดของการจัดเก็บข้อมูลได้บ่อยครั้ง ผู้วิจัยจึงได้นำเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมาพัฒนาเพื่อใช้งาน และประเมินความเหมาะสมโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 คน และนำมาใช้งานในระบบออนไลน์ผ่านเว็บเพจของคณะทันตแพทยศาสตร์ จากนั้นประเมินความพึงพอใจโดยบุคลากรและนิสิต คณะทันตแพทยศาสตร์ จำนวน 136 คน โดยใช้แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ และการตอบแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอด้วย ค่าเฉลี่ยของความพึงพอใจ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า การประเมินความเหมาะสมของผู้เชี่ยวชาญพบระบบสารสนเทศมีความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับดีมาก (µ = 4.82, s= 0.28) การประเมินความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับดี <br>(&nbsp; x = 4.28, S.D. = 0.04) และผลการตอบแบบสัมภาษณ์ พบว่า ระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นมีความสะดวกในการใช้งาน มีการจัดการข้อมูลเป็นหมวดหมู่ทำให้สืบค้นได้ง่าย</p> ปภาอร เขียวสีมา ลักษิกา สว่างยิ่ง พรพัฒน์ ธีรโสภณ Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-01 2025-02-01 14 1 e1376 e1376 ความพึงพอใจของผู้รับบริการต่อการให้บริการของงานการเงิน การคลังและพัสดุ สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1284 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการต่อการให้บริการของงานการเงิน การคลังและพัสดุ สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากร อาจารย์/คณาจารย์ ประกอบด้วย ผู้บริหาร บุคลากรสายวิชาการ สายปฏิบัติการ อาจารย์/คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่/ลูกจ้างโครงการ จำนวน 50 คน และ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เป็นแบบประเมินมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ เก็บข้อมูลโดยใช้ แบบประเมินออนไลน์ วิเคราะห์ประมวลผลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ความพึงพอใจต่อการให้บริการโดยรวมของงานอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาความพึงพอใจของหน่วยการเงินและบัญชี พบว่า มีความพึงพอใจต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ความพึงพอใจของหน่วยพัสดุ พบว่า มีความพึงพอใจต่อกระบวนการ/ขั้นตอนในการให้บริการ และความพึงพอใจของหน่วย One Stop Service พบว่า มีความพึงพอใจต่อคุณภาพการให้บริการ 2) มีความคาดหวัง ต่อการให้บริการของงาน โดยรักษาระดับการให้บริการ และเพิ่มช่องทางการทำงานในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น&nbsp; 3) ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงการให้บริการของงานการเงิน การคลังและพัสดุ โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ และเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการทำงาน จากผลการวิจัยพบว่า มีความพึงพอใจต่อการให้บริการของงานการเงิน การคลังและพัสดุ ในระดับมากในทุกด้าน และมีความคาดหวังต่อการให้บริการด้านความถูกต้อง รวดเร็ว และการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ในการให้บริการ ซึ่งผลการวิจัยที่ได้จะช่วยพัฒนาการบริการของงานการเงิน การคลังและพัสดุ ต่อไป</p> พรรณี ศรีเรือน Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-24 2024-12-24 14 1 e1284 e1284 พฤติกรรมการใช้งานระบบและการยอมรับระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ที่ส่งผลต่อความสำเร็จ ในการปฏิบัติงานของบุคลากรสายสนับสนุนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก เขตพื้นที่อุเทนถวาย กรุงเทพมหานคร https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1459 <p>การศึกษามีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้งานระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์และการยอมรับระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ 2) เพื่อศึกษาความสำเร็จในการปฏิบัติงาน 3) เพื่อเปรียบเทียบความสำเร็จในการปฏิบัติงาน ตามพฤติกรรมการใช้งานระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ และ 4) เพื่อศึกษายอมรับระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงาน และ ประชากร คือ บุคลากรสายสนับสนุน จำนวน 50 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย &nbsp;ใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ t test, F test และการถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า 1) พฤติกรรมการใช้งานระบบ มีความถี่ในการใช้งานเฉลี่ย 10 ครั้งขึ้นไป/สัปดาห์ ระยะเวลาในการใช้งานเฉลี่ย 15-20 นาที/ครั้ง ระยะเวลาในการใช้งานเฉลี่ย 1-2 ครั้ง/วัน ประสบการณ์ในการใช้งานระบบ 3 ปีขึ้นไป และส่วนใหญ่ได้รับการฝึกอบรมการใช้งานระบบ 2) การยอมรับระบบ อยู่ในระดับมากที่สุด คือ การรับรู้ความง่ายต่อการใช้งาน และระดับมาก คือ การรับรู้ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้งาน และการรับรู้ความง่ายต่อการใช้งาน 3) ความสำเร็จของการปฏิบัติงาน อยู่ในระดับมากที่สุด คือกระบวนการปฏิบัติงาน และระดับมาก คือ การใช้ทรัพยากร ความพึงพอใจ และคุณภาพของระบบ 4) พฤติกรรมการใช้งานระบบ จำแนกตามความถี่ในการใช้งานต่อสัปดาห์ที่แตกต่างกัน มีผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงาน ในภาพรวม ด้านการใช้ทรัพยากร และด้านกระบวนการปฏิบัติงานแตกต่างกัน และพฤติกรรมการใช้งานระบบ จำแนกตามระยะเวลาในการใช้งานต่อวันที่แตกต่างกัน มีผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงาน ในภาพรวม ด้านคุณภาพระบบ ด้านการใช้ทรัพยากร ด้านกระบวนการปฏิบัติงาน และด้านความพึงพอใจ แตกต่างกัน 5) การยอมรับระบบ ด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้งาน ส่งผลในเชิงบวกต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงาน ด้านคุณภาพระบบ ด้านการใช้ทรัพยากร ด้านกระบวนการปฏิบัติงาน และด้านความพึงพอใจ&nbsp; ในขณะที่การยอมรับระบบ ด้านการรับรู้สิ่งอำนวยความสะดวก และด้านการรับรู้ความง่ายต่อการใช้งานระบบ ส่งผลในเชิงบวกต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงาน ด้านคุณภาพระบบ ดังนั้น องค์กรจึงควรมุ่งเน้นการรับรู้ประโยชน์ที่ได้จากการใช้งานระบบสารสนเทศ รวมถึงการยอมรับเทคโนโลยี เช่น การรับรู้ความง่ายต่อการใช้งานระบบ สิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้งานระบบ เพื่อส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จในการปฏิบัติงานครอบคลุมในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง</p> กุลนัดดา สายสอน Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-10 2025-02-10 14 1 e1459 e1459 การพัฒนารูปแบบการขึ้นทะเบียนนักศึกษาใหม่ชาวต่างชาติ มจธ. ด้วยหลักการบริหารแบบลีน https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1387 <p>การพัฒนารูปแบบการขึ้นทะเบียนนักศึกษาใหม่ชาวต่างชาติ มจธ. ด้วยหลักการบริหารแบบลีน เกิดจากการรวบรวมปัญหาของนักศึกษาในการลงทะเบียนเรียนล่าช้า เช่นศึกษาข้อมูลจำนวนมากในเวลาจำกัด และไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสถานะของผู้สมัครกับกิจกรรมทางการศึกษา ทั้งนี้ผู้วิจัยนำหลักการบริหารแบบลีนมาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเรียกรูปแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นว่า โมเดล 3N3C ซึ่งแสดงกิจกรรมที่มีความต่อเนื่องกันจำนวน 3 ขั้นตอนในแต่ละสถานะของผู้สมัคร ได้แก่นักศึกษาใหม่ (New student status, N-status) และนักศึกษาปัจจุบัน (Current student status, C-status) งานวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการขึ้นทะเบียนนักศึกษาใหม่ชาวต่างชาติ มจธ. ด้วยหลักการบริหารแบบลีน 2) ประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อรูปแบบการขึ้นทะเบียนนักศึกษาใหม่ชาวต่างชาติ มจธ. ด้วยหลักการบริหารแบบลีน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาใหม่ชาวต่างชาติ มจธ. ที่ศึกษาในหลักสูตรเต็มเวลา ประจำภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 152 คน เครื่องมือในการวิจัยได้แก่ 1) รูปแบบการขึ้นทะเบียนนักศึกษาใหม่ชาวต่างชาติ มจธ. โมเดล 3N3C 2) สื่อวิดีทัศน์ออนไลน์แนะนำรูปแบบการขึ้นทะเบียนนักศึกษาใหม่ชาวต่างชาติ มจธ. โมเดล 3N3C 3) ระบบเพื่อการบริหารการศึกษา มจธ., New Acis 4) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบการขึ้นทะเบียนนักศึกษาใหม่ชาวต่างชาติ มจธ. โมเดล 3N3C สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน&nbsp; ผลการวิจัยพบว่านักศึกษาใหม่ชาวต่างชาติ มจธ. ในหลักสูตรเต็มเวลา ประจำภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ดำเนินการขึ้นทะเบียนนักศึกษาใหม่ด้วยโมเดล 3N3C สามารถลงทะเบียนเรียนภายในระยะเวลา จำนวน 115 คน (ร้อยละ 75.66) และกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจรวมต่อโมเดล 3N3C อยู่ในระดับพึงพอใจมาก ( = 4.47, SD=0.77)</p> เศารยา สุขเกษม Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-01 2025-02-01 14 1 e1387 e1387 การวิเคราะห์ผลงานตีพิมพ์ในฐานข้อมูล Scopus ของคณาจารย์ สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล ระหว่างปี พ.ศ. 2561 - 2566 โดยใช้โปรแกรม SciVal https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1352 <p>การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ผลงานตีพิมพ์ในระดับนานาชาติของคณาจารย์ สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 15 คน ที่ตีพิมพ์ในฐานข้อมูล Scopus ระหว่างปี พ.ศ. 2561 - 2566 รวมทั้งหมด 113 เรื่อง โดยใช้โปรแกรม SciVal ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนผลงานตีพิมพ์&nbsp; จำนวนการตีพิมพ์ ประเภทของผลงานตีพิมพ์ จำนวนการอ้างอิงจำนวนบทความที่ตีพิมพ์ในแต่ละสาขา คุณภาพของวารสารที่ตีพิมพ์ กลุ่มงานวิจัยที่โดดเด่น และหน่วยงานความร่วมมือทางด้านการวิจัย ผลการวิเคราะห์ พบว่า สถาบันฯ มีจำนวนผลงานตีพิมพ์ในรูปแบบของบทความ (Article) มากที่สุด (ร้อยละ 61.01) สาขาที่มีการตีพิมพ์มากที่สุด คือ Social Sciences จำนวน 64 เรื่อง โดย International Journal of Mobile Learning and Organisation มีการตีพิมพ์สูงสุด จำนวน 10 เรื่อง มีการตีพิมพ์ในวารสารที่มีค่า Journal Quartile รวมทั้งหมด 85 เรื่อง โดยมีการตีพิมพ์ในวารสารที่มีค่าควอไทล์ที่ 1 เป็นวารสารระดับดีเยี่ยม (Rating 5) ค่าน้ำหนัก 1.00 มากที่สุดจำนวน 31 เรื่อง (ร้อยละ 36.47) สถาบันฯ มีจำนวนผลงานตีพิมพ์ที่ถูกนำไปใช้อ้างอิง จำนวน 85 เรื่อง มีการอ้างอิงจำนวน 790 ครั้ง นอกจากนี้ สถาบันฯ มีผลงานตีพิมพ์ที่จำแนกตามกลุ่มหัวข้องานวิจัยกลุ่มหัวข้อ Students; Teaching; Education; E-Learning และกลุ่มหัวข้อ Students; Science; Learning มากที่สุดจำนวนกลุ่มละ 15 เรื่อง มีผลงานวิจัยโดดเด่นภายใต้สาขา Social Sciences และ Computer Science &nbsp;สถาบันฯ มีผลงานตีพิมพ์ที่มีความร่วมมือระดับชาติมากที่สุด จำนวน 60 เรื่อง (ร้อยละ 53.10) มีการตีพิมพ์ผลงานร่วมกับประเทศไต้หวันมากที่สุดจำนวน 7 เรื่อง และได้รับการสนับสนุนจากแหล่งทุนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ให้การสนับสนุนการทำงานวิจัยเพื่อตีพิมพ์ผลงานมากที่สุด จำนวน 22 เรื่อง</p> อัจฉราพรรณ โพธิ์ทอง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-19 2025-01-19 14 1 e1352 e1352 ประสิทธิผลของการติดตาม และผลสำเร็จของตัวชี้วัดแผนกลยุทธ์ ผ่านระบบฐานข้อมูลบริหารจัดการแผนและงบประมาณ ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-2566 https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1453 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ผลการติดตาม และประเมินผลสำเร็จของตัวชี้วัดตามแผนกลยุทธ์ และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผลสำเร็จของตัวชี้วัดกับแผนกลยุทธ์ ข้อมูลถูกรวบรวมจากระบบฐานข้อมูลบริหารจัดการแผนและงบประมาณ ภายใต้โครงการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณตามแผนกลยุทธ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-2566 จากนั้นการติดตามรายงานความก้าวหน้าโครงการ และผลสำเร็จของตัวชี้วัดแผนกลยุทธ์แยกตามปีงบประมาณถูกวิเคราะห์ โดยแสดงผลเป็นจำนวน และร้อยละ และวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างร้อยละผลสำเร็จบรรลุเป้าหมายของตัวชี้วัดกับแผนกลยุทธ์ โดยใช้สถิติ One-way ANOVA ผลการวิจัยพบว่า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 แผนกลยุทธ์ทั้ง 5 แผนมีการรายงานผลการดำเนินงานครบทุกโครงการ (100%) สำหรับร้อยละผลการดำเนินงานความก้าวหน้าต่อจำนวนโครงการทั้งหมดแยกตามแผนกลยุทธ์ พบว่าแผนกลยุทธ์ทั้งหมดรายงานความก้าวหน้ามากกว่าร้อยละ 85 โดยเฉพาะกลยุทธ์ที่ 4 และกลยุทธ์ที่ 5 ที่รายงานครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ผลสำเร็จของตัวชี้วัดที่บรรลุเป้าหมายตามแผนกลยุทธ์ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2563 พ.ศ. 2564 พ.ศ. 2565 และพ.ศ. 2566 บรรลุเป้าหมายร้อยละ 62.12, 75.00, 58.33, 60.0 และ 60.0 ตามลำดับ สำหรับผลการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างร้อยละของผลสำเร็จของตัวชี้วัดกับแผนกลยุทธ์ โดยแผนกลยุทธ์ทั้ง 5 แผน มีการรายงานผลสำเร็จของตัวชี้วัดไม่แตกต่างกัน</p> นันทิญา ทีปิวัฒน์ วัชรพงษ์ แสงนิล Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-10 2025-02-10 14 1 e1453 e1453 การศึกษาการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1342 <p>Mahidol University has got knowledgeable and experienced staff in various disciplines. It has the potential to create collaborative research networks with various organizations to enhance the impact of research outcomes both nationally and internationally. To facilitate the establishment of research collaboration networks between Mahidol University and external organizations, <br>a mechanism for promoting research cooperation has been developed through the establishment of Memorandums of Understanding (MoUs) for research collaboration. This article studies the structure, components, and key aspects of the MoU, the management, and the process for creating MoUs for research collaboration between the university and external public and private organizations. The study found that the structure of MoUs for research collaboration consists of 4 main parts; including general terms, main content, provisions, and conclusion, and can be categorized into 4 operational steps. Additionally, It studied the data in fiscal year 2020-2022 <br>(1 October 2020 – 30 September 2022) and revealed that the use of the MoUs form reduced the average verification time by approximately 5.39 working days. This demonstrates that the university's form has helped improve operational efficiency, reduce the workload of research administration staff, faculty staff, and legal officers involved in document verification, and shorten the time required for operations.</p> ถวิลวงศ์ คูหาก้องเกียรติ ศิราวัลย์ อัศวเมฆิน Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-15 2025-01-15 14 1 e1342 e1342 ผลกระทบของพฤติกรรมการทำงานเชิงรุกที่มีต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงาน ของบุคลากรสายสนับสนุน ในสถาบันอุดมศึกษาระดับอุดมศึกษาของรัฐ https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1481 <p>การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการทำงานเชิงรุกของบุคลากรสายสนับสนุน 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการปฏิบัติงานของบุคลากรสายสนับสนุน และ 3) เพื่อศึกษาผลกระทบของพฤติกรรมการทำงานเชิงรุกที่มีต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานของบุคลากรสายสนับสนุน ประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็นบุคลากรสายสนับสนุนในสถาบันอุดมศึกษาระดับอุดมศึกษาของรัฐ จำนวน 4,555 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ จำนวน 354 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์พหุคูณ และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ ตัวแปรอิสระ ที่ใช้ในการศึกษา คือ พฤติกรรมการทำงานเชิงรุกของบุคลากรสายสนับสนุน ส่วนตัวแปรตามคือ ประสิทธิผลการปฏิบัติงานของบุคลากรสายสนับสนุน ผลการวิจัย พบว่า 1) ทั้งระดับความคิดเห็นเฉลี่ยเกี่ยวกับพฤติกรรมการทำงานเชิงรุกและประสิทธิผลการปฏิบัติงานโดยรวมและรายด้านของบุคลากรสายสนับสนุน อยู่ในระดับมากและมีความแปรผันอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ทั้งกลุ่ม โดยมีค่าเฉลี่ยและค่าสัมประสิทธิ์การแปรผัน (4.20) และ (4.25) ตามลำดับ 2) ผลการศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิผลการปฏิบัติงานของบุคลากรสายสนับสนุน พบว่า พฤติกรรมการทำงานเชิงรุกในทุกด้านมีผลกระทบเชิงบวกต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานโดยรวมของบุคลากรสายสนับสนุน มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่าง 0.677 - 0.759</p> มนัสนันท์ ช่อประพันธ์ Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-15 2025-02-15 14 1 e1481 e1481 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1388 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ โดยเก็บรวบรวมจากผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในกระบวนการจัดทำคำของบประมาณจำนวน 145 คน จากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพื่อวัดระดับความสัมพันธ์โดยใช้สถิติ Cramer’s&nbsp; V</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์อยู่ในระดับมาก ผลการวิเคราะห์ปัจจัย 1) ด้านการบริหารจัดการ 2) ด้านทักษะความรู้ความสามารถ 3) ด้านกระบวนการจัดทำงบประมาณ และ 4) ด้านระบบสารสนเทศทางการงบประมาณ พบว่าภาพรวมมีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์อยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบทางสถิติพบว่าปัจจัยทั้ง 4 ด้านมีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.01</p> สุภาวดี สารพงษ์ ญาณิกา ชัยมุสิก Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-01 2025-02-01 14 1 e1388 e1388 การบริหารจัดการวารสารกฎหมายสงขลานครินทร์ให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานวารสารระดับชาติ TCI กลุ่ม 1 https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1362 <p>การศึกษาวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัญหาการบริหารจัดการวารสารกฎหมายสงขลานครินทร์ และเสนอแนะมาตรการบริหารจัดการวารสารกฎหมายสงขลานครินทร์ให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานวารสารระดับชาติ TCI กลุ่ม 1 โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพจากการศึกษาวิจัยเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่างคือตัวแทนวารสารด้านกฎหมาย ซึ่งได้มาจากการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 7 กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์เชิงลึก มีค่า IOC ระหว่าง 0.50-1.00 ผลการศึกษาพบว่า วารสารกฎหมายสงขลานครินทร์ประสบกับปัญหาและอุปสรรคบางประการเรื่องการบริหารจัดการในประเด็นด้านทรัพยากรบุคคล ด้านงบประมาณ ด้านบทความ ด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ และด้านกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง วารสารกฎหมายสงขลานครินทร์เลือกใช้วิธีการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคการบริหารจัดการ 1) ด้านทรัพยากรบุคคลด้วยการเพิ่มจำนวนคนทำงานและการทำงานให้เกิดความต่อเนื่อง 2) ด้านงบประมาณด้วยการประสานงานกับผู้ประเมินบทความ การขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนวิจัย การไม่มีเงินสมนาคุณผู้เขียน กำหนดจำนวนค่าตอบแทนประเมินบทความให้มีความแตกต่างกัน 3) ด้านบทความด้วยการประสานงานกับผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความเฉพาะทาง วิธีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และประสบการณ์ให้เขียนบทความ การประกาศหยุดรับพิจารณาบทความใหม่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การปฏิเสธการรับพิจารณาบทความ และแจ้งเตือนกำหนดระยะเวลาการประเมินบทความ 4) ด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ด้วยวิธีการยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความในบางช่วงเวลา และการพิจารณาซื้อบริการประชาสัมพันธ์ออนไลน์ 5) ด้านกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง การตรวจสอบคุณภาพของบทความอย่างเข้มงวด และวิธีการบังคับใช้ประกาศคณะนิติศาสตร์ เรื่อง การจัดทำวารสารกฎหมายสงขลานครินทร์ พ.ศ. 2564</p> จันทิรา จันทรโชติ กฤษรัตน์ ศรีสว่าง Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-22 2025-01-22 14 1 e1362 e1362 การวิเคราะห์การให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเครื่องนิวเคลียร์แมกเนติกเรโซแนนซ์สเปกโทรมิเตอร์ ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1454 <p>งานวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการให้บริการวิเคราะห์ฯ เครื่อง Nuclear Magnetic Resonance spectrometer (NMR) ได้แก่ จำนวนผู้ใช้บริการ จำนวนตัวอย่างวิเคราะห์ และประเภทหน่วยงานของผู้ใช้บริการ รวมถึงวิเคราะห์ข้อมูลรายรับ รายจ่าย และรายรับสุทธิจากการให้บริการฯ โดยใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลรายงานปฏิบัติงานบริการวิเคราะห์ฯ ด้วยเครื่อง NMR ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2566 นำข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาจำแนกประเภทและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา พบว่ามีผู้ใช้บริการเครื่อง NMR รวมทั้งสิ้น 511 ใบงาน และ มีจำนวนตัวอย่างส่งวิเคราะห์ทั้งหมด 2,134 ตัวอย่าง โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการและจำนวนตัวอย่างวิเคราะห์ฯ เครื่อง Solid-state NMR 400 MHz เฉลี่ย จำนวน 15.40 ใบงานต่อปี และ 44 ตัวอย่างต่อปี ส่วนเครื่อง Solution-state NMR 500 MHz มีจำนวนผู้ใช้บริการและจำนวนตัวอย่างวิเคราะห์ฯ เฉลี่ย จำนวน 86.80 ใบงานต่อปี และ 382.80 ตัวอย่างต่อปี ในส่วนรายรับจากการให้บริการฯ พบว่ามีรายรับรวมทั้งสิ้น 2,375,273.00 บาท ประกอบด้วยเครื่อง Solid-state NMR 400 MHz จำนวน 659,003.00 บาท และเครื่อง Solution-state NMR 500 MHz จำนวน 1,716,270.00 บาท สำหรับรายจ่ายจากการให้บริการฯ เครื่อง Solid-state NMR 400 MHz และเครื่อง Solution-state NMR 500 MHz มีรายจ่ายรวม 890,924.40 บาท และ 1,179,010.60 บาทตามลำดับ โดยพบว่า ร้อยละ 54.04 และ 86.85 ของรายจ่ายทั้งหมดของ เครื่อง Solid-state NMR 400 MHz และเครื่อง Solution-state NMR 500 MHz คือ ค่าบำรุงรักษาในการเติมฮีเลียมเหลว และเมื่อคำนวณรายรับสุทธิการให้บริการฯ เครื่อง NMR พบว่า มีรายรับสุทธิ จำนวน 295,838.00 บาท ผลการวิเคราะห์ทั้งหมดบ่งชี้ให้เห็นว่า การให้บริการตรวจวิเคราะห์ฯ ด้วยเครื่อง NMR ยังมีการประชาสัมพันธ์ที่ไม่พียงพอ เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้บริการส่วนใหญ่คือหน่วยงานภายในสถาบัน-ภายในคณะวิทยาศาสตร์</p> ธนาภรณ์ มาศวรรณา Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-10 2025-02-10 14 1 e1454 e1454 การปรับปรุงกระบวนการวัดสีซี่ฟันเทียมเพื่อลดความผิดพลาดของการวัดสีด้วยการวิเคราะห์ระบบการวัด https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1382 <p>การวิจัยเรื่องสีของฟันหรือวัสดุบูรณะฟันเป็นหัวข้อวิจัยทางทันตกรรมที่สำคัญเรื่องหนึ่ง และจำเป็นต้องใช้เครื่องมือวัดที่ให้ผลการวัดถูกต้องแม่นยำ การศึกษาครั้งนี้ต้องการนำการวิเคราะห์ระบบการวัดมาปรับปรุงกระบวนการวัดสีของซี่ฟันเทียม เพื่อลดความผิดพลาดของการวัดสีสำหรับพนักงานวัดใหม่ โดยใช้พนักงานชำนาญการที่มีประสบการณ์สูงในการใช้เครื่องวัด 2 คน และพนักงานใหม่ที่ไม่เคยใช้เครื่องวัดมาก่อน 2 คน ให้พนักงานทั้ง 4 คน วัดค่าสีของซี่ฟันเทียมในชุดแถบเทียบสีฟันด้วยเครื่องวัดสีแบบสเปคโทรโฟโตมิเตอร์ แล้วนำค่าแตกต่างสีร่วม (DE) มาวิเคราะห์ความสามารถในการวัดซ้ำและการวัดเหมือนของระบบการวัด ถ้าพบว่าสัดส่วนความแปรปรวนของระบบการวัดต่อความแปรปรวนรวม (%GR&amp;R) มีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่ยอมรับได้คือ 30% ให้ปรับปรุงกระบวนการวัด ผลการวัดค่าแตกต่างสีร่วมของชุดเทียบสีฟันในรอบแรก พบว่า %GR&amp;R มีค่า 59% สูงกว่าค่าที่ยอมรับได้ แต่เมื่อปรับปรุงกระบวนการวัดโดยกำหนดตำแหน่งวางชิ้นงานที่แน่นอนบนช่องวัด ร่วมกับการอบรมความรู้อย่างเข้มข้นให้กับพนักงานที่ไม่มีประสบการณ์ใช้เครื่องมือวัดมาก่อน พบว่า %GR&amp;R ลดลงเหลือ 23% ผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า ความสามารถในการวัดซ้ำของพนักงานวัดหรือวิธีการวัด และความสามารถในการวัดซ้ำระหว่างพนักงานวัดหรือระหว่างวิธีการวัด&nbsp; สามารถปรับปรุงได้ด้วยการวิเคราะห์ระบบการวัด และนำวิธีการที่ปรับปรุงมากำหนดเป็นขั้นตอนปฏิบัติสำหรับพนักงานวัดใหม่ได้</p> จรรยา ชื่นอารมณ์ เภตรา ชื่นอารมณ์ Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-01 2025-02-01 14 1 e1382 e1382 ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการกับการทำงาน ของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ตามทัศนะของผู้มีส่วนได้เสีย https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1343 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการกับการทำงาน <br>คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ตามทัศนะของผู้มีส่วนได้เสีย&nbsp; 2)&nbsp; เปรียบเทียบความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการกับการทำงานของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จำแนกตามผู้มีส่วนได้เสีย&nbsp; กลุ่มตัวอย่าง จำนวน&nbsp; 179 ราย ได้รับแบบสอบถามคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์จำนวน 127 ฉบับ แบ่งเป็นคณาจารย์ จำนวน&nbsp; 20 ราย และนักศึกษาชั้นปีที่&nbsp; 4&nbsp; จำนวน&nbsp; 81&nbsp; ราย และตัวแทนสถานประกอบการ จำนวน 26 แห่ง&nbsp; เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาค่าความถี่ และร้อยละ ค่าเฉลี่ย&nbsp; ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแปรปรวนทางเดียว&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า&nbsp; 1) ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการกับการทำงานของคณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ตามทัศนะของผู้มีส่วนได้เสีย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x = 4.51) &nbsp;อาจารย์มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (x = 4.53) &nbsp;รองลงมา คือ นักศึกษา และตัวแทนสถานประกอบการ มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก&nbsp; (x = 4.47&nbsp; และ x&nbsp; = 4.43) &nbsp;) &nbsp;ตามลำดับ&nbsp; 2) &nbsp;ผู้มีส่วนได้เสียทั้งสามกลุ่มมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการกับการทำงานของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ไม่แตกต่างกัน</p> จารุวัฒน์ สอนมนต์ ดวงนภา ประดิษฐศิลป์ กนกพร เชิญกลาง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-15 2025-01-15 14 1 e1343 e1343 ความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานที่มีต่อกระบวนการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานและองค์กรในประเทศ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1408 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานที่มีต่อกระบวนการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการฯ (MOU) และ 2) หาความสัมพันธ์ระหว่างความคาดหวังกับความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงาน มีประชากรในการศึกษาคือ ผู้ปฏิบัติงานด้าน MOU จำนวน 39 คน เครื่องมือในการศึกษาคือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.92 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการศึกษา พบว่า 1) ความคาดหวังของผู้ปฏิบัติงาน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก ( x=3.87) โดยที่ค่าเฉลี่ยมากที่สุดในประเด็นเรื่อง ระบบสารสนเทศที่มีจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างต่อเนื่อง ( x=4.07) และความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงาน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก ( x=3.82) โดยมีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ด้านบุคลากรที่ให้บริการหรือการประสานงาน ( x=4.10) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านสารสนเทศหน่วยงาน ( x=3.54) 2) ความสัมพันธ์ระหว่างความคาดหวังและความพึงพอใจ โดยภาพรวม ไม่มีความสัมพันธ์กัน เมื่อจำแนกรายด้านพบว่า ความพึงพอใจ “ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก” และ “ด้านสารสนเทศหน่วยงาน” มีความสัมพันธ์กับความคาดหวัง ระดับปานกลางในทิศทางเดียวกัน ส่วน “ด้านบุคลากรที่ให้บริการหรือการประสานงาน” มีความสัมพันธ์กับความคาดหวัง ระดับปานกลางแต่มีทิศทางตรงกันข้าม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ข้อเสนอแนะ 1) จัดทำเอกสารต้นแบบ (template MOU) ในแต่ละขั้นตอน 2) เพิ่มช่องทางการประสานงานในรูปแบบออนไลน์ 3) พัฒนาระบบสารสนเทศด้าน MOU ให้ครอบคลุมทุกขั้นตอนหลักของกระบวนการด้าน MOU เพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานได้อย่างต่อเนื่อง 4) การจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือระบบสารสนเทศเข้ามาช่วยในการปฏิบัติงาน</p> จักริน สงวนศักดิ์ Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-07 2025-02-07 14 1 e1408 e1408 การเปรียบเทียบวิธีการทดสอบปริมาณอินทรีย์คาร์บอนในปุ๋ยอินทรีย์โดยวิธี Walkley & Black และวิธี Combustion https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1363 <p>การเปรียบเทียบวิธีการทดสอบปริมาณอินทรีย์คาร์บอนในตัวอย่างปุ๋ยอินทรีย์ 30 ตัวอย่าง ระหว่างวิธี Walkley &amp; Black และวิธี Combustion พบว่าค่าเฉลี่ยของปริมาณอินทรีย์คาร์บอนในปุ๋ยอินทรีย์ เท่ากับ 37.46 <u>+</u> 0.07% และ 37.25<u>+</u>0.05% โดยน้ำหนัก ตามลำดับ โดยมีปริมาณอินทรีย์คาร์บอนกระจายตัวอยู่ในช่วง 35-40% <br>โดยน้ำหนัก ค่าความแตกต่างจากค่าเฉลี่ย และค่าความคลาดเคลื่อนของวิธี&nbsp; Walkley &amp; Black จะมีแนวโน้มไปในทางลบมากกว่าทางบวก ในขณะที่วิธี Combustion มีค่ากระจายอย่างสม่ำเสมอทั้งทางบวกและทางลบ เพราะวิธี Walkley &amp; Black เป็นวิธีทางเคมี ใช้หลักการออกซิไดซ์ ปริมาณอินทรีย์คาร์บอนในปุ๋ยอินทรีย์ โดยใช้โพตัสเซียม<br>ไดโครเมต และมีกรดซัลฟูริกเป็นตัวเร่งให้ความร้อนทำให้ปฏิกิริยาเกิดไม่สมบูรณ์และไม่สม่ำเสมอมีแนวโน้มน้อยกว่าความเป็นจริงมากกว่าวิธี Combustion ซึ่งให้ความร้อนโดยตรงที่อุณหภูมิ 9<sup>o</sup>C&nbsp; สามารถเกิดปฏิกิริยาที่สมบูรณ์มากกว่า เห็นได้จากค่าความไม่แน่นอนจากการวัดจากการคำนวณที่น้อยกว่า (0.05% โดยน้ำหนัก) เมื่อนำผลการทดสอบปริมาณอินทรีย์คาร์บอนทั้ง 2 วิธี&nbsp; ไปประเมินด้วยวิธีการทางสถิติแบบ t-Test : Pair Two Sample for Means พบว่าค่า t Stat น้อยกว่า ค่า t Critical สรุปได้ว่าวิธีการทดสอบปริมาณอินทรีย์คาร์บอนด้วยวิธี Walkley &amp; Black และวิธี Combustion&nbsp; ในปุ๋ยอินทรีย์ให้ผลการทดสอบแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 จึงสามารถใช้วิธี Combustion โดยใช้เครื่องวิเคราะห์คาร์บอนและไนโตรเจนแบบอัตโนมัติ (CN Analyzer) ทดสอบปริมาณอินทรีย์คาร์บอนในปุ๋ยอินทรีย์ได้ ซึ่งเป็นวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยุ่งยากในการทดสอบน้อยกว่า</p> สุนทร ขวัญอ่อน อังคณา ยาบา ผุสดี มุหะหมัด Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-22 2025-01-22 14 1 e1363 e1363 วิเคราะห์การมีและการใช้หนังสือของห้องสมุดคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1455 <p>วัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การมีและการใช้หนังสือและเปรียบเทียบการมีกับการใช้หนังสือจำแนกตามหมวดหมู่ระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน (L.C.) และหมวดหมู่อื่น ๆ ของห้องสมุดคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ด้วยระบบห้องสมุดอัตโนมัติ Sierra จากการเก็บข้อมูล วันที่ 30 กันยายน 2566 เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ สถิติที่ใช้ด้วยการหาความถี่ ร้อยละ อัตราการใช้หนังสือเฉลี่ยต่อเล่ม และอธิบายผลแบบพรรณนา ผลการศึกษา พบว่า หนังสือมีปริมาณ ทั้งหมด จำนวน 14,773 เล่ม เป็นหนังสือภาษาไทย จำนวน 12,378 เล่ม (ร้อยละ 83.78) และหนังสือภาษาต่างประเทศ จำนวน 2,395 เล่ม (ร้อยละ 16.22) หมวดหมู่ที่มีปริมาณมากที่สุด คือ หมวดหมู่ H สังคมศาสตร์ จำนวน 5,138 เล่ม (ร้อยละ 34.78) และการใช้หนังสือมีสถิติการยืม ทั้งหมด จำนวน 71,723 ครั้ง สถิติการใช้หนังสือภาษาไทย จำนวน 65,170 ครั้ง (ร้อยละ 90.86) และสถิติการใช้หนังสือภาษาต่างประเทศ จำนวน 6,553 ครั้ง (ร้อยละ 16.22) หมวดหมู่ที่มีสถิติการใช้มากที่สุด คือ หมวดหมู่ Q วิทยาศาสตร์ จำนวน 20,382 ครั้ง (ร้อยละ 28.42) ผลการเปรียบเทียบการมีกับการใช้หนังสือเมื่อพิจารณาอัตราการใช้เฉลี่ยครั้งต่อเล่มมากที่สุด คือ หมวดหมู่ Z บรรณานุกรมและบรรณารักษศาสตร์ จำนวน 124 เล่ม (ร้อยละ 0.84) สถิติการใช้ จำนวน 1,235 ครั้ง (ร้อยละ 1.72) มีการใช้ครั้งต่อเล่มเฉลี่ย 9.96 ส่วนผลการเปรียบเทียบการมีและการใช้หนังสือจำแนกตามหมวดหมู่หนังสือที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับหลักสูตรการสอนแบ่งตามภาควิชาของคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ พบว่า ภาควิชาที่มีปริมาณหนังสือมากที่สุด คือ ภาควิชาการบริหารธุรกิจและการบัญชี จำนวน 4,518 เล่ม (ร้อยละ 30.58) มีสถิติการใช้ จำนวน 17,191 ครั้ง (ร้อยละ 23.97) มีการใช้ครั้งต่อเล่มเฉลี่ย 3.81</p> จิณณพัต ชื่นชมน้อย Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-10 2025-02-10 14 1 e1455 e1455 การวิเคราะห์ทุนวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดลที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ด้านวิจัยและนวัตกรรม ในปีงบประมาณ 2564 - 2566 https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1385 <p>มหาวิทยาลัยมหิดลได้รับสนันสนุนทุนวิจัยประเภททุนวิจัยและนวัตกรรมจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุนส่งเสริม ววน.) ในปีงบประมาณ 2564 - 2566 จำนวน 128 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 48.86 ของจำนวนโครงการที่เสนอของบประมาณ และงบประมาณรวม 479,172,500 บาท คิดเป็นร้อยละ 40.16 ของงบประมาณที่เสนอของบประมาณ สำหรับปีงบประมาณ 2564 - 2565 พบว่าโปรแกรมที่ 17 การแก้ปัญหาวิกฤตเร่งด่วนของประเทศ (Covid-19 และภัยแล้ง) ได้สนับสนุนทุนวิจัยมากที่สุด เนื่องจาก มหาวิทยาลัยมีจุดเด่นและจุดแข็งทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและการแพทย์ รวมถึงมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญการวิจัยเกี่ยวกับด้านโรคระบาดที่สามารถผลิตผลงานวิจัยในประเด็นดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปีงบประมาณ 2566 แผนงาน P9 พัฒนาสังคมสูงวัยด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมได้สนับสนุนทุนวิจัยมากที่สุด เนื่องจาก แผนงานวิจัยดังกล่าวสอดคล้องกับจุดแข็งด้านการวิจัยทางการแพทย์และระบบสุขภาพของมหาวิทยาลัยมหิดล อีกทั้งปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่สถานการณ์สังคมผู้สูงอายุแล้ว ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์การเปรียบเทียบทุนวิจัยที่ได้รับสนับสนุนจาก วช. ในด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ยังมีปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับงบประมาณที่ วช. ได้รับสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริม ววน. และการวิเคราะห์ฉากทัศน์สำหรับปีงบประมาณ 2564 และ 2566 จัดอยู่ในฉากทัศน์ที่ 2 คือจำนวนโครงการวิจัยที่ได้รับสนับสนุนทุนสูงแต่งบประมาณโครงการวิจัยที่ได้รับสนับสนุนทุนวิจัยต่ำ และปีงบประมาณ 2565 จัดอยู่ในฉากทัศน์ที่ 3 คือจำนวนโครงการวิจัยที่ได้รับสนับสนุนทุนต่ำและงบประมาณโครงการวิจัยที่ได้รับสนับสนุนทุนวิจัยต่ำ จึงควรมีการบูรณาการการวิจัยข้ามศาสตร์ในรูปแบบแผนงานใหญ่แบบสหสถาบันหรือสหสาขาวิชาเพื่อให้งานวิจัยสามารถแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมได้มากยิ่งขึ้น และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้นักวิจัยในภาพรวมโดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนให้นักวิจัยเขียนโครงร่างวิจัยจนสำเร็จสามารถขอรับทุนสนับสนุนได้ การสร้างเครือข่ายการวิจัยภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย การสนับสนุนการเผยแพร่ และตีพิมพ์ผลงานวิจัย การตั้งคลินิกวิจัยที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยโดยตรงคอยให้คำปรึกษาเพื่อเพิ่มโอกาสในการรับการสนับสนุนงบประมาณจาก วช. เพิ่มมากขึ้น</p> วัฒนา บัวภูมิ สิทธิพร ตัณฑวิรุฬห์ Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-01 2025-02-01 14 1 e1385 e1385 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจต่อการใช้บริการห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1350 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพึงพอใจของอาจารย์และนักศึกษาต่อการใช้บริการห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจของอาจารย์และนักศึกษา ต่อการใช้บริการห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัย&nbsp;&nbsp; ราชภัฏรำไพพรรณี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาคืออาจารย์ 41 คน และนักศึกษา 413 คน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยคือแบบสอบถามที่คณะผู้วิจัยสร้างขึ้น มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่าอาจารย์และนักศึกษามีความพึงพอใจโดยรวมต่อการใช้บริการห้องปฏิบัติการอยู่ในระดับมาก ( &nbsp;= 4.34, <br>S.D.= 0.48, &nbsp;= 3.94, S.D.= 0.63) โดยทั้งอาจารย์และนักศึกษามีความพึงพอใจด้านการบริการของเจ้าหน้าที่สูงที่สุด ( =4.75,S.D.=1.40, &nbsp;=4.09, S.D.=0.54) และมีความพึงพอใจด้านโปรแกรมการใช้งานต่ำที่สุด ( &nbsp;=4.26, S.D.=0.69, =3.93, S.D.=0.66) สำหรับการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจพบว่า ปัจจัยที่ศึกษาทั้ง5 ด้านมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจต่อการใช้บริการห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณีในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยปัจจัยที่มีความสัมพันธ์มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งได้แก่ ปัจจัยด้านระบบเครือข่าย (r=.700, P-value &lt;.01) รองลงมาคือปัจจัยด้านโปรแกรมการใช้งาน(r=.694, P-value &lt;.01) ด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (r=.668, P-value &lt;.01) ด้านการบริการของเจ้าหน้าที่ (r=.640, P-value &lt;.01) และด้านห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ (r=.624, P-value &lt;.01) ตามลำดับ</p> สิทธิพงษ์ พิมพ์ธารา กัมพล มีมาก Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-01-19 2025-01-19 14 1 e1350 e1350 การพัฒนาเว็บไซต์หน่วยงานสนับสนุนวิชาการโดยใช้เทคโนโลยี Google Workspace กรณีศึกษา สถาบันการสอนวิชาศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://so19.tci-thaijo.org/index.php/CUASTJournal/article/view/1381 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาเว็บไซต์สถาบันการสอนวิชาศึกษาทั่วไปด้วยเทคโนโลยี Google Workspace 2) ทดลองใช้และประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้บริการเว็บไซต์ใหม่ที่พัฒนาขึ้น และ 3) เปรียบเทียบผลการประเมินเว็บไซต์เดิมและเว็บไซต์ใหม่ การวิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยใช้บุคลากรของสถาบันสอนการศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน 29 คน แบ่งเป็นอาจารย์ผู้สอน 15 คน และเจ้าหน้าที่สายสนับสนุน 14 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ เว็บไซต์สถาบันการสอนวิชาศึกษาทั่วไปที่พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยี Google Workspace ที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น เก็บข้อมูลการวิจัย โดยใช้แบบประเมินประสิทธิภาพเว็บไซต์ใหม่ และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้บริการเว็บไซต์เดิมและเว็บไซต์ใหม่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ และค่าเฉลี่ย ผลการวิจัย พบว่าการพัฒนาเว็บไซต์ใหม่โดยใช้เทคโนโลยี Google Workspace มี 8 ขั้นตอน การเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้ใช้บริการระหว่างเว็บไซต์เดิมและเว็บไซต์ใหม่ พบว่า ผู้ใช้บริการเว็บไซต์ใหม่มีความพึงพอใจมากกว่าเว็บไซต์เดิม โดยมีผลการประเมินความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.57 แสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์ที่ใช้พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยี Google Workspace นั้น มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้บริการ</p> จักรินทร์ ศิลารัตน์ Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการ ปขมท. https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-01 2025-02-01 14 1 e1381 e1381